เตรียมตัว: หลายๆคนบอกว่าอิจฉาที่ฉันได้มาเยือนถิ่นผู้ดีประเทศอังกฤษ ฉันเองยังอิจฉาตัวเองเลย อดตื่นเต้นไม่ได้เลยเตรียมตัวเป็นการใหญ่ตั้งแต่ก่อนมาก็หาโน้นนี่มาอ่าน เปิดรูปดู เพื่อให้พร้อมกับการเดินทาง สิ่งก่อสร้างอันวิจิตรตระการตา หอนาฬิกาที่รู้จักกันทั่วโลก ชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ยักษ์ที่แม้จะมีที่อื่นลอกเลียนแบบก็ยังลบภาพของลอนดอนอาย (London eye) ไม่ได้ ระบบขนส่งที่สะดวกสบายไปทุกที่ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งชื่นชมเข้าไปใหญ่เมื่ออ่านพบว่าคนอังกฤษดำเนินชีวิตเรียบง่าย ไม่ว่าจะใส่สูทผูกไทด์ก็ยังนั่งเล่นในสวนสาธารณะ หนังสือพิมพ์แจกฟรีมีทั่วเมืองแม้จะทิ้งลงถังขยะแล้วเขาก็เก็บมาอ่านกัน เพราะว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
มุ่งหน้าสู่อังกฤษ: พอเหยียบลงมาจากเครื่องบินก็ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินหรือที่เรียกกันว่า Tube ต่อไปยังที่หมายปลายทาง รถไฟฟ้าที่มีสถานีมากมายแต่ก็ปิดซ่อมบ่อยครั้งให้ต้องนั่งอ้อม สภาพรถไฟฟ้าก็ดูเก่ามาก หนังสือพิมพ์ที่มีแจกฟรีและใครจะหยิบมาอ่านต่อจากใครก็ได้ กระจุกกระจายอยู่ทุกหลืบบนรถ คนขึ้นกันแน่นขนัด บางคนฟังเพลงเสียงดัง บางคนวางของบนเก้าอี้โดยไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมีที่นั่งไหม
ถึงที่หมาย: ฉันอาศัยอยู่ในบ้านพักสองชั้น บ้านเรือนที่นี่จะเป็นแบบเดียวกันหมดซึ่งมองดูสวยงามแต่ก็ถูกจำกัดอิสระอยู่มากมาย บ้านห้ามทาสี อะไรผุพังก็ต้องใช้วัสดุซ่อมแซมให้เหมือนเดิม ขอบหน้าต่างต้องเป็นแบบเดียวกัน สีต้องเหมือนบ้านอื่นๆ ยิ่งใครหวังจะสร้างบ้านใหม่คงลืมไปได้เลย บ้านในเมืองอังกฤษส่วนใหญ่สร้างด้วยหิน ซึ่งมาจนถึงวันนี้หินในประเทศอังกฤษก็คงเหลือน้อยเต็มทีจึงต้องนำเข้ามาจากฝรั่งเศสทำให้ค่าใช้จ่ายสูงมาก บ้านนี้เป็นบ้านเช่ารวมอยู่ด้วยกันสามคน สิ่งที่เจอคือสังคมแบบตัวใครตัวมัน เจอหน้ากันก็คุยกันพอเป็นพิธีต่างคนต่างออกไปเรียนหรือทำงาน กลับมาก็อยู่ในห้องหรือดูทีวี อาหารการกินก็ส่วนของใครของมันดูแลและจัดการตัวเอง ทำให้ในบ้านมีขนมปังสามแถว มายองเนสสามขวด ดีที่ไม่ต้องแยกเครื่องซักผ้าหรือตู้เย็นด้วย
สังคมภายนอกนั้นฉันเองก็ไม่อาจจะสรุปรวมได้เพราะมีคนมากหน้าหลายตา หลายเชื้อชาติมารวมกันอยู่ที่ประเทศแห่งนี้ แต่ที่ประหลาดใจคือเด็กที่สามารถพบเห็นได้ทุกที ซึ่งเดิมทีคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการควบคุมประชากรกันมากกว่านี้ วันนี้เจอภาพน่ารักเด็กน้อยวัยประมาณ 5-6 ขวบกำลังช่วยแม่เข็นรถเข็นน้องที่ยังแบเบาะอยู่ ในขณะที่แม่อุ้มน้องอีกคนวัย 3-4 ขวบ เป็นภาพที่น่ารักและน่าตกใจในเวลาเดียวกันว่าทำไมเด็กถึงเยอะอย่างนี้และอนาคตเกาะเล็กๆแห่งนี้จะสามารถรองรับประชากรมากมายเหล่านี้ได้อย่างไร
จะไม่ให้ประชากรล้นทะลักได้อย่างไรเมื่อเจอเด็กวัยประมาณ 13-15 ปียืนกอดกันบนรถไฟฟ้า โตกว่านั้นน้อยก็จูบกัน เพื่อนร่วมบ้านซึ่งอายุไม่น่าจะเลย 24 ปีกำลังตั้งท้อง คนแต่งงานก่อนยังไม่จบปริญญาตรี อากาศหนาวมากแต่ก็ใส่กระโปรงกันแค่คืบ ผับบาร์มีอยู่ทุกหนทุกแห่งแม้กระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดามาก และฉันมีโอกาสได้เล่าให้เพื่อนหลายคนฟังก็มีคนบอกว่าวัฒนธรรมต่างกัน อย่าเอามาตราฐานของวัฒนธรรมเราไปชี้วัดคนอื่น จึงอยากถามกลับไปเหลือเกินว่าเราเธอเอามาตราฐานอะไรมาชี้วัดว่าเขาเป็นผู้ดี การแต่งตัว? การศึกษา? รายได้?
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราไปอยู่ที่ใด เราก็มักจะเห็นข้อเสียของที่นั้นๆ แต่ละที่ก็ย่อมมีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป สุดท้ายคนอังกฤษก็เป็นคนอย่างเราๆนี่เอง
อิงแลนด์ (ใครว่า) แดนผู้ดี
*อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เขียนจากความคิดเห็นส่วนบุคคลและสิ่งที่เจอมา หลายคนก็อาจจะเจออะไรต่างกันหรือมองกันต่างออกไป