
Saturday, November 20, 2010
ตาข้าพเจ้ามั้งแล้วกับไตรภาค

It's Solo Time...
Friday, November 19, 2010
ยินดีที่ได้รุ้จักค่าาาา..บู น้ะ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้แฮะ แต่เวลามีคนถามชื่อ จะต้องมีเครื่องหมายคำถามตลอดเว "อะไรน้ะ?" คือ คงออกเสียงยากมั้ง รึป่าว ซึ่งยายเรา จะเรียก โบ ตลอดอ่ะ ถามแม่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อนี้ แม่บอกว่าตั้งตามละคร เหอะๆ (ไม่เคยจะเห็นมีตัวละครชื่อ บู ???) เกิดวันที่ 4 มีนา แอบดีใจเกิดวันเดียวกะพี่หลุยส์ สก็อต แหะๆ เป็นลูกคนเดียว ตอนก่อนจะคลอดแม่ต้องไปนอนรออยู่โรงพยาบาลตั้งเกือบเดือน เพราะว่าความดันสูง แถมยังคลอดแบบวิธีธรรมชาติไม่ได้ด้วย หมอบอกว่า ไม่งั้นเด็กจะไม่รอด ซึ่งก็คือเราน้ะเอง ก็เลยต้องผ่าท้องคลอด แม่บอกว่าเจ็บมากๆ พอคลอดเสร็จแม่ต้องอยู่โรงบาลอีกเกือบเดือน อีกแล้ว รักแม่จัง รักที่สุด จึงเป็นหน้าที่พ่อที่คอยดูแลเด็กหญิงบูบู้น้อย รักที่สุดเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กเราจะมีหมากะแมวเป็นเพื่อนตลอด ไม่สิ มีลูกพี่ลูกน้องด้วย เป็นเพื่อนกัน เล่นด้วยกัน เซเลอร์มูน กะ ขบวนการเอ็กซ์เรนเจอร์ นี่ประจำอ่ะ ชอบดูการ์ตูนน้ะ แต่ไม่ชอบอ่านการ์ตูนอ่ะ แปลกเน้าะ (แต่ชอบดูสารคดีมากๆ) เป็นเหตุให้น้องเราไม่เคยจะเรียกเราว่า พี่ เลย เรียก บู ตล๊อดดดดดด ตอนเด็กๆ อนุบาล เคยซ้ำชั้นตอนอยู่อนุบาลด้วย เคืองมาก แม่ไปส่งไปโรงเรียน ร้องไห้กลับบ้านตลอด ทั้งๆที่ครูก็ไม่ดุน้ะ ตอนประถมก็เป็นเด็กเรียนดีพอใช้ได้ ลายมือไม่สวย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สวย ชอบวาดรูป ทำงานศิลปะ ทำให้ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งด้วยแหละ ตอนสอบเข้ามอหนึ่งน้ะ ไม่อยากจะบอกว่า สอบได้ที่โหล่ โชคช่วยๆ เพราะแม่ไปบนให้แน่ๆเลย เหอะๆ ไล่ดูรายชื่อติดประกาศ ใจนี่แป้วมาก ในที่สุดก็เจอ สอบติดด้วยโว้ยยยยย พ่อก็แอบให้กำลังใจ เค้าเรียงตามอักษร ลูกชื่ออรทัย รายชื่อก็ต้องอยู่ท้ายๆ อยู่แล้วลูก ฮ่า ฮ่า พ่ออ่ะ
เพื่อน หรือคนที่ไม่สนิท ด้วย จะบอกว่าเราเป็นคนเงียบ พูดน้อย เรียบร้อย เค้าว่ากันอย่างนั้น แต่คนที่เราสนิทด้วย หรือรู้จักตัวตนที่แท้จริง เพื่อนสนิท จะเป็นคนละคนเลย มันเป็นวิธีป้องกันตัว เหอะๆ ชีวิตตอนมัธยมเป็นอะไรที่สนุกสุดๆ เพื่อนไปไหนไปกัน ไปกันทีเป็นโขยงเลย ไปร้องเกะ เที่ยว เรียนพิเศษ ร้องไห้ด้วยกัน ทำให้ยังสนิทกันมาจนทุกวันนี้ พอสอบเข้ามหาลัย สอบตรงก็ได้คณะวิทย์ มหิดลนี่แหละ ติดก็เลยเอาเลย ปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม ตอนนี้ก็ปีสี่ละ จนมาได้รู้จักทุกคนในคลาสนี้ล่ะค๊ะ ใกล้จะจบเต็มที เป็นกำลังใจให้ตัวเอง
ความฝันคือ อยากเป็นนักแข่งรถ (รถยนต์) ชอบอะไรที่เร็วๆ ความเร็ว ถ้าไม่ได้เป็น ขอแค่ได้ดูการแข่งขันก็มีความสุขแล้วอ่ะ การเดินทางท่องเที่ยวก็เป็นความฝันอีกฝันหนึ่งเช่นกัน และฝันนี้จะทำให้เป็นจริงให้ได้ด้วย ทำงาน เก็บตังค์ พาพ่อกับแม่เที่ยว โอ้ววว ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร ขอขีดเส้นใต้ไว้เลย
ยินดีที่ได้รู้จักจ้า.
Wednesday, November 17, 2010
ตัวฉันเมื่อวานนี้

แนะนำตัวบ้าง เพราะพึ่งจะจัดสรรเวลาว่างให้ชีวิตตัวเองได้ (วันนี้วันแรกที่รัสเซียยังไม่มีกิจกรรมอะไร อากาศหนาวมาก) หวังว่ามันจะไม่ยาวเกินไปนัก
สวัสดีค่ะ ชื่อจริงชื่อสุภัชญา เตชะชูเชิดค่ะ สุภัชญา แปลว่าผู้ใฝ่รู้ ชอบชื่อนี้มากๆเลย เพราะว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครชื่อเหมือนกัน จะมีก็คล้ายบ้างแต่ตัวสะกดก็ไม่เหมือนกัน และความหมายก็ค่อนข้างตรงกับนิสัยตัวเองมากๆด้วย ส่วนชื่อเล่นพ่อแม่จะเรียกว่าแอน ถ้าเพื่อนๆก็เรียกเหม้ง เถิก เป็ด แว่น และอื่นๆอีกมากมาย
แอนมีพี่สองคน พี่สาวเป็นคนโตห่างกัน 12 ปีหรือหนึ่งรอบพอดี และพี่ชายคนกลาง แอนเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่สาวเหมือนมีพี่ชายและมีพี่ชายก็เหมือนมีพี่สาว ซึ่งพี่ๆก็มีอิทธิพลมากในชีวิต มากกว่าพ่อกับแม่ซะด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่แอนจะมีนิสัยและท่าทางกระโดกกระเดกแบบนี้ บางคนก็บอกว่า hyper เพราะว่าจะยืนหรือทำอะไรนิ่งๆไม่ได้ พี่สาวเป็นแอร์ทำให้ได้ผลประโยชน์ได้ไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี้ พี่ชายเป็นช่างภาพทำให้เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปไปด้วยและร่ำเรียนวิชาความรู้ต่างๆมาจากพี่ชาย ซึ่งก็โดนว่า (ด่า) ไปเยอะกว่าจะถ่ายได้อย่างทุกวันนี้
ชีวิตวัยเด็กๆก็เป็นเด็กที่ธรรมดามาก เรียนๆเล่นๆ แถมยังทึ่มๆด้วย สอบได้ที่ 25 ในห้องมี 30 คน จำได้ว่าตอนเล็กๆสอบคำตรงกันข้าม มืดคู่กับอะไร เราก็นึกไม่ออกเลยตอบไปว่า “ไม่มืด” และก็กลัวข้ออื่นผิดเลยแก้คำตอบข้ออื่นหมดเลย ขาว ตรงข้ามกับ “ไม่ขาว” ร้อนตรงข้ามกับ”ไม่ร้อน”..... (ก็มันจริงๆนี่หนา ทำไมครูต้องมาตีกรอบความรู้ของเราด้วย เนอะๆว่าป่ะ)
พูดไปคนที่รู้จักกันก็อาจจะไม่ค่อยเชื่อว่าตอนเด็กแอนเป็นคนเงียบๆ ขี้อาย แล้วยังหวานแหววด้วย ชอบสีชมพู เล่นบาร์บี้ มีเสื้อคิตตี้เต็มไปหมดเลย หมวกสีชมพู บลา บลา บลา แบบเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง “เฮ้ย! แล้วทำไมแกกลายเป็นงี้ได้ว่ะ” จุดหักเหของชีวิตเกิดจากการได้เข้าค่ายแรกในชีวิตตอนม.1 แล้วก็รู้สึกว่าเพื่อนที่ไปค่ายด้วยกันเท่ห์ๆดูทะมัดทะแมงดี หลังจากเข้าค่ายบ่อยเข้าก็พบว่าตัวเองเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งความรู้ที่ได้รับ แนวคิด การจัดการ กระบวนการค่าย การแต่งตัว นิสัย จนมาถึงวันนี้ในตัวเราก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่จะเป็นยังไงต่อไปก็สุดที่ตัวเราเองจะคาดเดาได้
Tuesday, November 16, 2010
หยิน แนะนำตัว

สวัสดีค่ะ หลังจากได้อ่านของหลายๆคนไปแล้วก็คันไม้คันมืออยากจะเขียนมั่งแล้วล่ะ ^^
ทุกคนมีที่มา มีเรื่องราว และมันเป็นสิ่งที่พิเศษ เพราะถ้าหากมันผิดเพี้ยนไปจากนี้แม้แต่น้อย มันก็อาจจะไม่ใช่เราในวันนี้ (จากหนังสือซักเรื่องนึง..)
นางสาวธนาลัย พูลศิริ ชื่อเล่น หยิน เกิดเมื่อเวลาตี 2 โดยประมาณของ วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2533 (เป็นความสับสนอยู่เสมอเวลาจะดูดวงตามหน้าหนังสือพิมพ์ ว่ามันนับเป็นวันจันทร์หรือวันอังคารในทางโหราศาสตร์ เลยอ่านมันทั้งสองวันนั่นแหละ)
พ่อเป็นคนจังหวัดลพบุรี เป็นครอบครัวทหาร แม่เป็นคนจีน อยู่ที่อ.เบตง จ.ยะลา พ่อกับแม่เป็นครู บรรจุเป็นครูที่จ.ตาก พบรัก และอยู่ด้วยกันมาจนทุกวันนี้ ลูกจึงเป็นคนจังหวัดตากโดยกำเนิด มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ หยี ห่างกันขวบครึ่งพอดี (พี่ สาวเกิด 1 พ.ย 31) ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ด้วยกัน พี่เลี้ยงชีพด้วยการขาย Herbalife ตอนนี้เปลี่ยนมาขาย agel แล้ว เคยทะเลาะกันพอสมควร เรื่องการเริ่มต้นธุระกิจนี้ สุดท้ายเราก็แพ้ด้วยเหตุผลที่ว่า ..ชั้นเป็นพี่แกนะ!! ไม่เคยเถียงใครชนะ แม้ว่าเราจะมีเหตุผลที่เข้าท่ากว่า (ถ้าใครเคยสงสัยว่าพวกแท็กรูป ส่งเมลล์น่ารำคาญ มันเป็นใคร ก็พี่สาวดิฉันนี่แหละค่า)
บ้านที่อาศัยเมื่อครั้งอยู่จ.ตาก เป็นบ้านพักครู ห่างจากตัวเมือง 20 กม. ตื่นแต่เช้าไปเรียนทุกวัน(แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันกลายเป็นนิสัย) การตื่นสายถือเป็นความผิดมหันต์ เพราะมันลำบากที่จะหารถไปส่ง รถที่นั่งไปเรียกว่ารถคอกหมู เพราะมันเหมือนรถขนหมู หน้าต่างรอบทิศ เวลาหน้าฝน เราต้องกางร่มเวลานั่งรถด้วย นั่งรถแบบนี้ตั้งแต่อนุบาล 1 จนจบ ม.6 ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม หรือเรียนพิเศษกับใครเค้าเพราะต้องกลับบ้านเป็นเวลา เป็นคนที่จดจำรายละเอียดชีวิตไม่ค่อยได้ กะเวลาหรือปริมาณของอะไรไม่เป็น นับเงินทอนเงินนี่อย่าได้ถาม ช่วยคิดมาให้เสร็จเลยว่าฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ เป็นคนเชื่อ คล้อยตามอะไรได้ง่าย ในวัยเด็กเวลาเปิดเทอมจะอยู่กับพ่อแม่ ปิดเทอมเล็กไปอยู่กับปู่ย่าที่ลพบุรี ปิดเทอมใหญ่ไปหาตาที่เบตง เป็นอย่างนี้ทุกปี ตอนอยู่กับปู่จะต้องไปเรียนว่ายน้ำกับคุณครูที่ใส่กางเกงลายเสือดาว กินข้าวเหนียวไก่ย่าง และวาดรูปเล่น ชอบวาดรูปโรงแรม วาดทุกวัน จินตนาการว่าแป็นเจ้าของ พอถึงวันที่พ่อจะมารับจะเลือกโรงแรมที่สวยที่สุดพับเป็นซอง เก็บเอาไว้ให้ ปิดเทอมใหญ่ไปหาตา หลาน 12 คนจะมารวมตัวกันในวันเชงเม้ง ต้องตื่นเช้ามากๆเพื่อไปกินติ่มซำ กลับมาก็เล่นไพ่ 12 คนก็ได้หลายวงอยู่ ตกดึกผู้ใหญ่ก็เปิดวงนกกระจอก นั่นคือที่จำได้
เป็นคนเมารถ อาการคือน้ำตาจะเริ่มใหลพราก ในรถจะมีถุงไว้เสมอๆ เป็นเด็กหน้าตาเหมือนเด็กดอย เค้าชอบบอกให้เราคอยหลบเวลาผ่านด่านแม่สอด เป็นเด็กตัวเล็ก(มาก) ผอม จนเค้าหาว่าเป็นพยาธิ ขึ้นรถเป็นหลับ ใกล้ไกลแค่ไหนก็ตาม ถ้ามีของให้เลือกกินจะกินอันที่น้อยกว่า เป็นเด็กติดบ้าน พ่อจะต้องเคี่ยวเข็ญ “ ออกไปเล่นสิ! ”
พ่อแม่เลี้ยงแบบ..ไม่รู้จะพูดยังไง เคยงอแงไม่ยอมไปเรียน บอกตามตรงว่าแค่อยากรู้ว่าแม่จะทำอย่างไร แม่ก็ไม่มีเวลาจะมาดูเรา เค้าต้องไปทำงาน จึงให้เราไปเลี้ยงวัวกับป้าข้างบ้าน -_-“ จากนั้นไม่เคยงอแงอีกเลย พ่อแม่ใช้ระบบสินเชื่อ เชื่อใจการตัดสินใจของลูก ทำให้เวลาเราจะตัดสินใจทำอะไรหน้าท่านจะลอยมาก่อนเลย
เรื่องเรียนความจำมันจะกระโดดๆ ได้ที่ 3 ตอนป.3 ที่ 1 ตอนป.6 สอบเข้ามัธยมได้ที่ 1 ของรร.ประจำจังหวัด(ปลื้มมม) ม.ปลาย ได้เข้า สอวน. อารมณ์ งงๆ สอบเพราะเขาสอบกัน ไปแบบไม่รู้ว่า 15 วันเค้าจะให้ไปทำอะไร หลุดไปจนถึงค่ายสาม ไปแข่งที่ม.เกษตร ถือเป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกันที่พาเราเข้าสู่แวดวงวิทยาศาสตร์ เกรดม.ปลายได้ 4.00 เป็นที่ 1 ของรร. สอบติดรับตรงแพทย์มช. แต่สละสิทธิ์ โดนด่าเสียงขรม เพราะเป็นการคัดเอา 20 อันดับไม่เลื่อนอันดับ แต่พ่อแม่ไม่ว่าอะไร และมันก็เป็นบทเรียนสำคัญอีกอันหนึ่งในชีวิต ต่อมา ติดแพทย์ม.เนศวร และสละสิทธิ์ พ่อได้ซื้อตึกเพื่อทำเป็นหอพักไว้แล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร
ถึงตอนนี้(ตอนที่เขียนนี่ล่ะ)รู้สึกขอบคุณพ่อแม่มากๆ ที่เชื่อใจและให้เราได้ตัดสินใจในทางเดินของเรา รู้สึกว่ามันมีค่ามากๆ ทำให้เราตั้งใจ และจะพยายามมีชีวิตที่ดีต่อไป พยายามค้นหาตัวเองต่อไป
อ้อสุดท้ายเป็นคนที่ impress กับแทบจะทุกสิ่งในชีวิตที่เป็นเรา ตั้งแต่พื้นเพของพ่อแม่ วันเกิดของตัวเอง(วันแรงงานน่ะ)กับของพี่ที่เป็นวันที่ 1 เหมือนกัน ความเป็นลูกครึ่งของตัวเอง ชื่อของตัวเอง และ บลา บลา บลา อ่อ แล้วก็คงเป็นเหตุที่ทำให้ ตัวเล็กไม่กลายเป็นปมชีวิต
มีทางเลือก (ไม่)มีทางรอด : ยังไงก็ขาดทุน
หมูอ้วนพิทักษ์ดวงดาว

Monday, November 15, 2010
รู้จักกับวิเศษณ์นิยม

เราคือใคร
ทั้งพ่อและแม่ของผมเป็นครู สอนวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ มันเลยเหมือนโดนฝังให้ใกล้ชิดเรื่องพวกนี้ ครอบครัวผมแปลก ๆ เพราะพ่อจะพูดมากกว่าแม่ ถ้านั่งรถไปไหนกับพ่อกับแม่ แม่จะนั่งเงียบ พ่อจะมีเรื่องเล่าและวิภาควิจารณ์ดินฟ้าอากาศบ้านเมืองประเทศชาติการทหารคมนาคมหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ขับรถผ่านได้ตลอดเวลา จนงงว่า พ่อไปรู้มาจากไหน แล้วมันจริงบ้างป่ะเนี่ย นิสัยพูดมากแบบนี้เหมือนผมจะได้มาจากพ่อเลยหละ แต่ต่างที่พ่อผมกล้าพูด ผมกล้าน้อยกว่า ทุกครั้งที่ต้องพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ต่อให้เป็นครั้งที่พันของชีวิตการทำงานก็ตาม ก็ยังอดขาสั่นมือเย็นเหงื่อมท่วมไม่ได้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมมีน้องสาวอีกหนึ่งคน ห่างกับผมราวสี่ปี ทั้งผมและน้องเหมือนกันอยู่คือชอบร้องเพลงมาก เหมือนพ่อ ฮ่า ๆ ๆ พ่อผมร้องเพลงโอเคอยู่เมื่อเทียบกับแม่ที่ค่อนข้างเพี้ยนอย่างไม่ปรานีคนฟัง หากวันไหนที่น้องกลับมาแล้วมีเพลงใหม่ ๆ ก็จะมาร้องโหยหวนกันอยู่สองคน ฮ่า ๆ ๆ ดูปัญญาอ่อนดี
ตอนเด็ก ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าอยากเป็นนอะไร แต่เคยเปิดไปเจจอสมุดตอนป.หนึ่งที่เขียนไว้ว่า ฉันอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่ถ้าถามผมตอนนี้เหรอ ฮ่า ๆ ๆ จะอยู่เหนือเพื่ออะไร ผมไม่ได้อยากเป็นอะไรมากไปกว่าผมอยากทำอะไร ตลอดเวลาม.ปลาย ผมเฝ้าหาว่าผมอยากเป็นอะไร และมั่นใจเหลือเกินกับการเลือกเดินในทางสายวิทยาศาสตร์ และต้องฟิสิกส์เท่านั้น เพราะผมคิดว่ามันเม่ท์มาก และหาเหตุผลนานาประการว่าเมื่อจบแล้วมีสายงานรองรับเพียบ แต่ที่อยากเป็นสุดต้องเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย โห สุดยอดไปเลย ผมคิดว่าน่าจะทำได้ และต้องทำให้ได้ เพื่อนหลายคนไม่คิดเช่นนั้น เขามองว่าผมน่าจะไปเรียนนิเทศไม่ก็การแสดงอะไรพวกนี้ หรือเบนสายไปเลย แต่ใครมันจะรู้จักเรามากไปกว่าตัวเอง ความคิดของผมในตอนนั้นพุ่งขึ้นมา ฮ่า ๆ ๆ สมัยเรียนมัธยม ผมเคยเล่นทั้งละคร รร. จัดทำละครเอง โต้วาที ทอล์คโชว์ พอถึงตอนสัมภาษมหิดลนี่ในแฟ้มผลงานแทบไม่มีผลงานทางด้านวิยาศาสตร์เอาซะเลย แต่ผมก็เข้ามาเรียนได้นะ เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ได้ยืนชี้หน้าอาจารย์ห้องสัมภาษแล้วบอกว่า "ไม่อยากเรียนโว้ยยย" มหาลัยเป็นช่วยเวลาที่ผมใฝ่ฝันมากที่สุดช่วงหนึ่ง ผมไม่อยากกลับไปเป็นเด็กแม้คนที่ขึ้นมามากมายจะบอกว่า โตขึ้นแล้วจะอยากกลับไปเป็นเด็ก ฮ่า ๆ ๆ ผมไม่อยากเป็นเด็กมัธยมอีก และผมก็อยากจะโตขึ้นเรื่อง ๆ ผมอยากออกไปไหนต่อไหน อยากอิสระ อยากทำอะไรที่อยากทำ เมื่อขึ้นมาในมหาลัยนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมไม่ต้องแคร์ว่าต้องกลับบ้านก่อนอาทิตย์ตกดิน หรืออะไรก็ตาม ก็ไม่เชิงว่าเก็บกด แต่ผมก็ได้ทำอะไรเยอะแยะเมื่อขึ้นมหาลัย และแม่ผมก็โตตามไปด้วยที่จะเห็นว่าผมโตขึ้นเรื่อย ๆ และไม่สามารถห้ามไม่ให้ผมใส่กางเกงขายาวหรือเสื้อเชิ้ตได้อีก เพราะแม่อยากให้ผมใส่ขาสั้น กับเสื้อลายกาตูนเพื่อให้ผมเด็กอยู่เสมอ และเมื่อเข้ามาเรียนสิ่งที่เราอยากเป็นกลับไม่ทำให้เรามีความสุข เพราะมันเรื่องไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ
ผมได้ลองทำกิจกรรมอยู่บ้างงงงง ในคณะ ซึ่งก็ได้ลองทำอะไรที่เราอยากทำ มันค่อย ๆ ทำให้ผมรู้ว่าอะไรที่อยากทำ ชีวิตปีหนึ่งยังไม่แล้วร้ายพอที่ทำให้เห็นชัดว่าชีวิตผมกำลังจะเปลี่ยนไป ชีวิตหลังการเข้าภาคต่างหากที่นำให้ผมโตขึ้นมาก การได้เรียนรู้ความสุข ความเศร้า ความผิดหวัง และความเกินคาดหวังต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่าชีวิตมีหลากด้านจริง ๆ และมันก็ไม่ไ้ดต่างไปจากละคร แค่ตอนจบยังมาไม่ถึง ผมได้เรียนรู้ชีวิตแบบเด็กทุนไปพร้อมทั้งการสูญเสียชีวิตแบบนั้น การผูกมัดและอิสระภาพ ได้รู้จักคำว่าสอบตกที่แท้จริงในขณะที่มีคนนับพันพร้อมปรบมือให้กับการแสดงของเรา การพยายามท่องทำจำราที่ต่างไปจากการท่องผมเป็หน้า ๆ และพูดมันออกมาอย่างปราณีต สิ่งเหล่านี้้ำทำให้ผมรู้ว่าที่อยากทำนั้นคืออะไร ผมได้รู้จักละครเวทีก็ตอนเข้ามาอยู่ที่พญาไท ได้ดูมันจริง ๆ และเริ่มเข้าไปใกล้มันมากขึ้น จนตอนนี้มันกลายเป็นชีวิตของผมไปแล้ว
โดยส่วนตัวผมเอง มองว่าก็ไม่ได้หน้าชื่นชมมากนัก สำหรับคนที่เรียนวิทยาศาสตร์และน่าจะพยายามหรือตั้งใจเรียนสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีเสียก่อน แทนที่จะไปทำอะไรที่อยากทำ แต่ละครหลาย ๆ เรื่องก็ต่างมีบทเรียนไม่ซ้ำซากให้ผมเข้าใจเช่นกันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นว่าอะไรสวยเหมือนกันหมด และเพราะเรามีเพียงวันนี้ ผมไม่เลือกรอให้ได้ทำ แต่ผมเลือกที่จะทำมัน ในเมื่อผมเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ผมชอบละครเวที ไม่ว่าจะชอบดูหรือชอบเล่น ผมจึงเลือกที่จะทำละครเวทีดูสักเรื่อง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ความยากมันแตกต่างไปจากโครงงานหรือโปรเจ็คเรื่อง การวาวแสงของยูวี แต่มันต้องใช้ทรัพยากรย์มนุษย์ที่มีคุณภาพจำนวนมหาศาลในการรังสรรค์งานศิลปะชิ้นนี้ขึ้นมา นอกจากศิลปินยังต้องมีชั่งเทคนิคและอื่น ๆ ซึ่งผมไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ตอนงานยาก ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเพราะทรัพยากรที่ใช้นั้นคือมนุษย์ที่มีจิตใจและบอบบาง และยิ่งยากเมื่อคนเหล่านั้นคือเพื่อนที่รู้จักและเราร้องขอให้มาช่วยโดยที่ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ แม่บอกเสมอว่าทำงานกับคนนั้นยาก ต้องทำอย่างรอบคอบ จะกระทบกระทั่งอะไรก็จะมีผลไปหมด แต่จะปล่อยปละละเลยก็ทำให้เสียงาน งานนี้ผมเลยได้เป็นเหมือนเจ้าของคณะละครเล็ก ๆ ที่จะทำการแสดงละครที่ตัวเองเขียนบทเพลง กำกับเองรวมทั้งร่วมประพันธ์บทเพลง แถมยังมีคนในปกครองซึ่งล้วนแต่เป็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ มาช่วยกันกว่าสามสิบชีวิต ผ่านกรล้มหายตายจากมาอย่างโชกโชน แต่เชื่อได้ว่ามันจำทำให้เราทุกคนได้โตขึ้นและเข้าใจการทำงาน แม้ละครเรื่องนี้จะไม่ได้ช่วยให้โลกสูงขึ้น แต่ก็ทำให้ในคนทำได้สูงขึ้นพร้อมจะดึงคนดูให้ร่วมเสพมหรสพนี้อย่างมีความสุข
จะมีอะไรดีไปกว่าได้ทำอะไรที่อยากทำ เพราะเรามีเพียงวันนี้...
แนะ-นำ-ตัว

เช้าวันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2531
เด็กตัวน้อยๆนามว่า ด.ช.ภควัต ทองเจริญ ชื่อเล่น โบ๊ท ก็ได้ลืมตาดูโลกหลังจากนอนคุดคู้อยู่ในท้องแม่มานานเก้าเดือน ด้วยน้ำหนักตัวที่มากและหัวที่โต (กว่าเชิงกรานของแม่) ทำให้แพทย์ ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ ตัดสินใจทำคลอดด้วยการผ่าตัด
-ด.ช.ภควัต ทองเจริญ-
ใช้ชีวิตอยู่ ณ บ้านย่านฝั่งธนที่คุณปู่ หรือ ที่หลานทุกคนเรียกว่า "ก๋ง" ร่วมกับ พ่อ แม่ น้องสาว ก๋ง ย่า น้า อา รวมถึงลูกพี่(ที่เกิดก่อน)ลูกน้อง(ที่เกิดที่หลัง) รวมกันกว่า 10 คน
ผมจำวันเกิดของก๋งไม่ได้ แต่ทราบว่าก๋งเป็นคนจีนโดยกำเนิด อพยพมาอยู่ที่ไทยตั้งแต่อายุน้อย จำไม่ได้ว่าชีวิตวัยเด็กของก๋งเป็นอย่างไร ทั้งที่ก๋งมักจะเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ฟังอยู่เสมอ ก๋งทำฟาร์มวัวนมอยู่ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี แต่ก็กลับบ้านมาให้เจอหน้าบ่อยๆ ก๋งเป็นคนใจดีพูดน้อยแต่มีสายตาที่ดูเศร้าและมีริ้วรอยที่เกิดจากการผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างหนักหนา ก๋งเคยเล่าว่าก่อนหน้าที่ผมจะเกิด ก๋งเคยทำโรงเลื่อยติดแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องเดินทางไม่ตามจังหวัดต่างๆ ครั้งละหลายๆวันเพื่อเข้าป่าไปหาต้นไม้มาเข้าโรงเลื่อย แต่ผมก็ไม่เคยถามว่าทำไมปู่ถึงเลิกทำโรงเลื่อย แล้วหันมาทำฟาร์มวัวนม
ทุกวันหลังจากที่ผมกลับจากโรงเรียนอนุบาลเธียรประสิทธิ์ศาสตร์ คนแรกที่ผมแรกหาคือ "โต้" โต้เป็นชื่อที่ทุกคนใช้เรียกย่าของผม ขอย้ำว่าทุกคน ชื่อ "โต้" นี้สามารถเรียกได้โดยไม่มีคำนำหน้า แต่บางครั้งหลานๆก็แรก โต้ ว่า ยายโต้ ด้วยความสงสัย ผมจึงถาม
"ทำไมทุกคนถึงเรียกโต้ว่าโต้ล่ะ"
"อ๋อ โต้ แปลว่าพี่สะใภ้"
"??????????"
"เมื่อก่อนมีคน(บางคนที่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรแต่คาดว่าคงเป็นน้องของก๋ง)เรียกชื่อนี้ ทุกคนก็เลยติดปากเรียกชื่อนี้กันทุกคน"
ผมไม่ได้ถามต่อ ว่าชื่อนี้เป็นที่ติดปากขนานหลานอย่างผมยังเรียกย่าว่า "พี่สะใภ้" ได้อย่างไร แต่ผมรู้ว่า ทุกครั้งที่ผมกลับจากโรงเรยนอนุบาลคนแรกที่ผมเจอคือโต้ และทุกคืนที่พ่อและแม่กลับช้าโต้และก๋งก็จะพาผมเข้านอน
หลังจากใช้ชีวิตที่บ้านหลังใหญ่ได้ 7 ปี ผม แม่ พ่อ และน้องสาว ก็ย้ายไปอยู่ในทาว์นเฮาส์ ย่านอ่อนนุช เรียกได้ว่าย้ายไปอยู่คนละฝั่งของกรุงเทพเลยก็ว่าได้ และในปีนั้นก็เป็นปีแรกที่ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนแอ๊ดเวนตีสเอกมัยและใช้ชีวิตวัยประถมอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหกปี
ผมจำไม่ได้ว่าพ่อย้ายออกจากบ้านไปเมื่อไหร่ อาจจะตอนผม 8 ขวบ หรือ 9 ขวบ ผมไม่แน่ใจ แต่ผมจำได้ว่าผมร้องไห้อยู่หลายคืนเมื่อรู้ว่าพ่อจะไม่กลับมาอยู่กับแม่แล้ว และก็หวังทุกๆคืนว่าตอนเช้าพ่อจะกลับบ้าน--แต่เมื่อตื่นมาก็มีแต่แม่และน้องสาว เกือบทุกเสาร์อาทิตย์หลังจากนั้น"ป้าปุ๋ย" พี่สาวของพ่อ จะมารับผมและน้องไปอยู่ที่บ้านฝั่งธน ซึ่งเป็นทางเดียวที่ผมได้เจอพ่อกับพ่อ
ตั้งแต่เด็กๆ ผมจำได้ว่าไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อเท่าไหร่ เพราะพ่อกลับดึก แต่เมื่อมีเวลาว่าง พ่อมักจะพาผมกับน้องไปเที่ยวเสมอๆ เรียกได้ว่าเป็นเด็กเที่ยวจริงๆ ไม่ว่าจะขึ้นยอดดอย ดำน้ำ นอนเขื่อน เที่ยวน้ำตก ขี่ม้า หรือขับรถ พ่อจับผมและน้องให้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมดแล้ว ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมได้เที่ยวแบบมี พ่อ แม่ น้องสาว และผม ครบทั้งสี่คนคือตอนผมอายุ 8 ขวบ ครั้งนั้นผมและครอบครัวไปเที่ยวเกาะเต่า และจำได้ว่ามันสนุกและมีความสุขมากขนาดไหน พ่อเคยเล่าเรื่องก๋งให้ฟัง ว่าก่อนที่ก๋งจะมาทำฟาร์ม เรือขนไม้ซุงจากชุมพรมากรุงเทพอัปปางเพราะชนกับหินโสโครก และเรือลำนั้นยังไม่ได้ต่อประกัน ทำให้ต้องสุญเสียเงินทันทีหลายร้อยล้านบาท จำต้องขายเรือลากซุงและโรงเลื่อยที่เหลือเพื่อใช้หนี้ และกลายเป็นคนล้มละลาย หลังจากนั้นก๋งก็เลยไปทำฟาร์ม...
เมื่อใช้ชีวิตวัยประถมจนครบ 6 ปี ก็ถึงวัยที่จะต้องเติบโตขึ้นอีกครั้ง โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) โรงเรียนเก่าของคุณแม่ เป็นที่หมายต่อไปของผม ผมเข้าโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่พิเศษนี้ได้ด้วยการจับฉลาก เพราะก่อนหน้าจะเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ชั้นมัธยม ผม แม่ และน้อง ก็ได้เปลี่ยนบ้านอีกครั้ง คราวนี้ย้ายมาอยู่ที่ลาดพร้าวซอย 126 บริเวณท้ายซอยติดกับคลองแสบแสบ ซึ่งถือเป็นซอยเกือบสุดท้ายที่อยู่ในเขตมีสิทธิ์จักฉลากเข้าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) และโชคก็เป็นของผม
ผมเข้าเรียนชั้น ม.1 ห้อง 5 (จาก 10 กว่าห้อง) ซึ่งถือเป็นห้องที่ไม่ดีนักในมุมมองของแม่เมื่อเทียบกับคนที่จบมาได้อันดับสองของระดับชั้นในชั้นประถม แม่จึงสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้
ชีวิตเกือบทั้งชีวิตของผมอยู่กับแม่ แม่เป็นคนโคราชโดยกำเนิด อากง และ อาม่า ต่างก็เป็นคนจีนซึ่งอพยพมาอยู่ไทยทั้งสิ้น แม่ย้ายไปอยู่กรุงเทพหลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์)-โรงเรียนเดียวกับผม จึงถือได้ว่าแม่ของผมเป็นรุ่นพี่ผม(25ปี) หลังจากนั้นก็เรียนต่อที่คณะบัญชี จุฬาฯ ซึ่งเป็นที่ที่แม่ได้พบกับพ่อ หลังจากแม่เรียนจบ ก็แต่งงานกับพ่อทันที และหลังจากนั้น 2 ปี แม่ก็มีผม แม่กับผมเสมอๆว่า แม่เลี้ยงผมไม่เหมือนกันที่่คนอื่นเลี้ง แม่เป็นคนที่อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย แต่โมโหยาก แต่ก็มีเหตุผล รับฟังทุกคำพูดของลูก (ที่ดูสมเหตุสมผล) แม่ไม่เคยเคี่ยวเข็ญให้เรียนหรือทำอะไรก็ตาม แต่แม่จะให้วิธีสร้างบรรยากาศให้โน้นน้าวไปให้ทางที่แม่ต้องการ แม่ไม่เคยตี แต่จะพูดด้วยเหตุผลเสมอๆ
เมื่อขึ้นม.2 ก็มีการจัดห้องเรียนอีกครั้ง คราวนี้ผมได้อยู่ ห้อง 1 ซึ่งเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเรยีน (อันเป็นผลมาจากการสร้างแรงจูงใจของแม่) และได้พบว่า ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ เก่งมาก ถึงมากที่สุด บรรยากาศในการเรียนก็เปลี่ยนไปมาก เพราะทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง เรียนเป็นเรียน เล่นก็เป็นเล่น กิจกรรมก็ทำ กลายเป็นตัวเองดูไร้ความรู้ไปในทันที
เมื่อขึ้นม.3 ผมยังได้อยู่ห้อง 1 เหมือนเดิม และเพื่อนๆก็ยังเหมือนเดิม ถึงแม้จะมีการจัดห้องใหม่ ทุกคนดูตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะทุกคนต่างหวังที่จะเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (และก็มีคนได้ไปต่ออย่างที่ใจหวังเกินครึ่งห้อง) แต่ชั้นสุดท้ายของระดับม.ต้นก็ถือเป็นปีที่สนุกที่สุดปีนึงเหมือนกัน เพราะทุกคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นการเรียนด้วยกันมานาน ก่อนที่ความทรงจำดีๆจะจบไป เพื่อเดินก้าวต่อไปอีกขั้นในการเป็นผู้ใหญ่
-นายภควัต ทองเจริญ-
วันแรกที่ผมใช้คำนำหน้าชื่อ "นาย" ผมรู้สึกว่าตัวเองแก่
ผมตัดสินใจไม่สมัครสอบเตรียมอุดมศึกษาตามเพื่อนๆด้วยความหยิ่งของตัวเอง ทำให้หลังจากจบมัธยมต้น ผมมีเพื่อนที่จะไปต่อในช้นมัธยมปลายไม่มากนัก ผมยังคงเรียนต่อที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) และมีจุดเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ๋รอผมอยู่ในอนาคตอันใกล้
ค่ำวันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2547
ผมอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองพร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่อีกหนึ่งใบ ผู้ร่วมเดินทางมากันพร้อมหน้า ผมตรวจสอบตั๋วเครื่องบินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนบอกลา พ่อ แม่ น้อง และ ก๋ง ที่ตามมาส่ง และเดินผ่านเข้าไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมเคยเดินผ่านประตูนี้หลายครั้งซึ่งมีจุดหมายปลายทางและระยะเวลาการเดินทางต่างๆกัน ทำให้ไม่รู้สึกตื่นเต้นมากนักที่จะต้องเดินผ่านด่าน แต่ที่ผมตื่นเต้นคืออีกหนึ่งปีข้างหน้าที่รอผมอยู่ต่างหาก
เครื่องบินทะยานขึ้นท้องฟ้าอันมืดมิด ก่อนหันหัวเครื่องบินไปทางทิศตะวันตก ผมไม่ได้นั่งที่นั่งริมหน้าต่างแต่สังเกตเห็นได้ถึงสีดำสนิทของท้องฟ้าภายนอกตัดกับแสงสว่างไสวยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร รับรู้ได้ว่ามนุษย์เรานี้เปราะบางเพียงใดในโลกสีฟ้าเล็กๆที่กว้างใหญ่ใบนี้ ผมไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้สึกกลัว
แสงแดดสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างเครื่องบินเมื่อแอร์โฮสแตสบอกให้ผู้โดยสารเปิดหน้าต่างขึ้นเพื่อเตรียมลงจอด เวลาล่วงเลยผ่านไป 10 ชั่วโมง กับระยะทางกว่า 10,000 กิโลเมตรจากกรุงเทพมหานคร ผมพยายามมองเมืองหลวงของออสเตรียเบื้องล่าง แล้วเครื่องบินก็ลงจอดที่เวียนนาโดยสวัสดิภาพ แต่การเดินทางของผมยังไม่สิ้นสุด ผมกับเพื่อนอีก 9 คน แยกตัวจากเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางด้วยกันมา เพราะมีที่หมายที่ต่างกัน คนอื่นๆมุ่งหน้าไป เมืองอัมเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ ส่วนผมและเพื่อน มุ่งหน้าไป เมืองปราก ประเทศสาธารณรัฐเชก รอเครื่องบินอีกกว่า 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องบินเล็กที่จะพาผมไปยังไข่มุกแห่งยุโรปตะวันออกจะพร้อมออกเดินทาง
เพียง 1 ชั่วโมงจากเวียนนา เครื่องบินก็ลงจอดที่ปราก พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ผมและเพื่อนเดินออกผ่านประตูขาเข้า ก่อนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ครอบครัวอุปถัมป์ของผมมารออยู่แล้ว การเดินทางอันยาวไกลสิ้นสุดลงพร้อมกับการเริ่มต้นของการพจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต...
การอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคยที่ใช้ภาษาที่ไม่คุ้นเคย ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย กับประเทศที่ไม่คุ้นเคย ที่มีวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย และอีกหลายๆอย่างที่ไม่คุ้นเคย เป็นประสบการณ์ที่สร้างความอึดอัดได้มากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางคนมากมาย อึดอัดจนอยากร้องไห้ ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้จะสื่อสารกับใคร ไม่รู้จะคิดอะไร สิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่นี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Culture Shock” และมันก็ shock จริงๆ
ก่อนการเดินทางมีเพื่อน และคนอื่นๆถามว่า
“ประเทศเชกอยู่ไหน?.”
“อ๋อ อยู่ยุโรปกลาง ติดกับ เยอรมัน โปแลนด์ ออสเตรีย แล้วก็ฮังการี”
“แล้วยุโรปกลางอยู่ตรงไหน?”
“ก็อยู่ทางตะวันออกของเยอรมัน”
“แล้วเยอรมันอยู่ไหน?”
“.....”
“แล้วเค้าพูดภาษาอะไรกันล่ะ?”
“ภาษาเชก”
“!!##!! ภาษาเชกเป็นยังไงล่ะ?”
“ก็คล้ายๆภาษารัสเซีย”
“แล้วภาษารัสเซียเป็นยังไงล่ะ?”
“.....”
ผมพบว่าคนส่วนมากยังไม่ค่อยใส่ใจกับภูมิศาสตร์และภาษาศาสตร์เท่าที่ควร นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งประหว่างประเทศในปัจจะบัน นี่ยังไม่นับรวมถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม
เนื่องจากผมเดินทางไปใช้ชีวิตในประเทศแปลกๆประเทศเล็กๆใจกลางยุโรป เชื่อว่าคงมีคนคาดหวังว่าผมจะได้อะไรแปลกๆกลับมาไม่มากก็น้อย
*เนื่องจากเนื้อหาส่วนนี้มีความยาวมาก และรายละเอียดเยอะจึงขอละไว้ในที่นี้*
หนึ่งปีผ่านไป หลังจากกลับมาถึงไทยทำให้ผมมีมุมมองต่างจากเดิมมาก และรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หลังจากต้องเจอกับเรื่องต่างๆมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เจอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ผมได้อ่านหนังสือหลายเล่มที่ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง หนึ่งในหนังสือหลายเล่มนั้นก็คือ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” โดย วินทร์ เลียววาริณ และหนังสือเล่มอื่นๆของเค้า ทำให้ผมได้มีเวลาคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆในอนาคต ว่าผมต้องการอะไรกันแน่
เวลาล่วงเลยมาถึงชั้นสุดท้ายของมัธยมศึกษาตอนปลาย ถึงเวลาที่เพื่อนใหม่เมื่อสามปีก่อน จะกลายเป็นเพื่อนเก่า หลังจากที่จะต้องแยกย้ายไปตามทางเดินของตัวเอง ผมสอบตรงเข้าคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพ่อ และญาติๆ ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องเป็นนักฟิสิกส์ให้จงได้ และจะทำให้วงการวิทยาศาสตร์ไทยพัฒนาไปมากกว่านี้ หนึ่งปีที่ใช้ชีวิตในศาลายาช่่างมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นไปตามที่คาดหวัง มีกิจกรรม มีเพื่อน มีแฟน มีผลการเรียนที่ดี แต่มีขึ้นก็ย่อมมีลง
เมื่อภาคเรียนแรกของชั้นปีที่สองเริ่มขึ้น ผมรู้สึกเหมือนคนหลงทาง สิ่งที่เคยชอบและทำได้ดีที่สุด กลายเป็นสิ่งที่ชอบแต่ทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดี ผมเข้าใจดีว่าผลการเรียนเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้แสดงความสามารถเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และไม่เคยเชื่อในเรื่องระบบเกรด แต่การตั้งใจทำอะไรที่รักแล้วผลออกมาไม่ดี ทั้งที่ก่อนหน้าเคยทำได้ดีมาก มันก็ทำให้กำลังใจหายไปได้เยอะเหมือนกัน
เข้าสู่ปีสาม เริ่มคิดมากเกี่ยวกับอนาคตอีกครั้ง เริ่มสงสัยในทางเดินที่ตัวเองเลือก และคิดถึงคำเตือนของพ่อ และญาติๆ ทำให้รู้สึกว่าทุกสิ่งที่อย่างมันเป็นความผิดพลาด แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้อะไรไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำก็คือการเลือกทางเดินในปัจจุบันและอนาคต ปัจจุบัน รู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และคิดไม่ออก บางครั้งก็รู้สึกเศร้าโดยไม่มีเหตุผล เหมือนกับว่าความสุขที่เคยมีมันหายไป หัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ เพื่อนก็เริ่มลดน้อยลง รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เพียงแต่ครั้งนี้ผมอยู่กับคน ภาษาและสถานที่ที่รู้จัก และคุ้นเคยดี
เช้าวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ผมรู้สึกว่า การค้นหาจุดหมายเป็นสิ่งที่ยากกว่าการเดินตามจุดหมายมาก เพราะอย่างน้อยเมื่อรู้ทิศเราก็ไม่หลงทาง
ไม่รู้ว่าหนทางในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ที่ทำได้ก็คงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดจนกว่าจะหาจุดหมายของตัวเองเจอ
แนะนำสิ่งมีชีวิตในไฟลัมมอลลัสกา

Sunday, November 14, 2010
พีเจ
สวัสดีค่ะ เพ็ญค่ะ
ชื่อ-นามสกุล เพ็ญจุรี วีระธนาบุตร
ตรงนามสกุล "ธนาบุตร" เป็นชื่อกิจการที่พ่อเป็นเจ้าของขายสติ๊กเกอร์และฟิล์มหลากหลายรูปแบบ รับทำโฟโต้บุ๊คคุณภาพดีมีมาตรฐาน ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในสำนักงานเช่น เครื่องรูดบัตร เป็นต้น ใครสนใจกำลังหาซื้อหรือต้องการอุปกรณ์ที่อยู่ในข่ายนี้ สามารถแวะไปได้ที่ บริษัท ธนาบุตร จำกัด อยู่ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ ลงรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ถึงเลย นอกนั้นกร้อ... เป็นคนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตตามแบบอย่างที่กระแสสังคมบอกว่าควรจะเป็น พื้นฐานดี ครอบครัวดี ทุกอย่างดีพร้อม ไม่มีปัญหาอะไร (อย่าเพิ่งหาว)
ชีวิตเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษา ๒๕๓๐ หรือ 1987 ตอนหลังเพิ่งรู้ว่า วันเดียวกันในปี 1912 เป็นวันที่เรือเดินสมุทรไททานิค (Titanic) กระแทกภูเขาน้ำแข็ง และจมลงสู่พื้นมหาสมุทรแอตแลนติกในเช้าตรู่วันถัดมา และถอยไปอีก ในวันเดียวกันปี 1985 เป็นวันที่อับราฮัม ลินคอร์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ ของสหรัฐอเมริกา ถูกคนร้ายยิงที่โรงละครแห่งหนึ่งใน Washington D.C. และจบชีวิตอย่างสงบลงในเช้าวันต่อมา
สถานศึกษาแรกคือ โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านสุขุมวิทชื่อ "วัฒนาวิทยาลัย" (ถ้าใครนึกไม่ออก ก็นึกถึงเด็กกระโปรงแดงที่มักปรากฎตัวเป็นกลุ่มๆ แถวสยามสแควร์) ๖ ปีสุดท้ายในโรงเรียนต้องอยู่แบบประจำ เรื่องแรกที่เรียนรู้ตอนอยู่ประจำคือ ใครหาเพื่อนสนิทได้เร็วก็รอดตัว ใครหาเพื่อนได้ช้าก็ต้องสู้กับชะตากรรมที่เหลือในโรงเรียนต่อไป แม้จะเข้ากับเพื่อนได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ชีวิตในโรงเรียนประจำก็ไม่ได้จืดชืดเสียทีเดียวเพราะลมหายใจอยู่ที่วงโยธวาทิต มีเพื่ิอนๆ น้องๆ ในวง มีเครื่องดนตรีคู่ใจคือ clarinet แต่ก็ไม่ได้เล่นอีกตั้งแต่เรียนจบเพราะเครื่องที่ใช้ในวงเป็นสมบัติของโรงเรียน แต่ตอนนี้ก็ยังคงคิดถึงเครื่องดำๆ ยาวๆ เครื่องนั้นอยู่บ่อยๆ หวังว่าสักวันจะได้เล่นกับมันอีกครั้ง
หนึ่งในความตั้งใจตอนนี้ก็ อยากจะดูแลคนในครอบครัว ดูแลพ่อแม่ให้เป็น แม้ว่าตอนนี้จะยังทำไม่ค่อยได้ดีนัก ทุลักทุเลพอสมควร ก็ยังดีที่มีความหวังอยู่ข้างใน แต่จะมีอุปสรรคกับตัวเองที่บางทีหน้าตาภายนอกมักจะไปทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ บางครั้งยังรู้สึกเลยว่าทำไมเราโชคร้ายที่เกิดมาหน้าออกแนวบึ้งๆ ไรงี้ หรือบางทีก็มองโลกในแง่ไม่ค่อยดีโดยไม่รู้ตัว ก็จะพยายามต่อไป... คือจริงๆ ก็กลัวนะว่าพอบอกอะไรแบบนี้ไปแล้วคนก็จะมาบอกว่า "อ้าว...ไหนว่าอยากให้มีความสุขแต่ดูตัวเองสิ ทำไมดูทุกข์กว่าชาวบ้านอีก ดูไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยพูด" และก็ห้ามไม่ได้เลยอ่ะถ้าจะมองแบบนี้ ยังไงลึกที่สุดแล้ว ถึงหน้าไม่ให้ แ่ต่มันก็เป็นความตั้งใจหนึ่งนะ :)
ส่วนหนึ่งในความสามารถพิเศษคือ การอำพรางตัว จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่น้องบางคนอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนว่าเราเคยใช้ชีวิตอยู่ที่คณะวิทย์ด้วยเหรอ?? หรือบางคนอาจจะเคยเห็นโผล่ๆ อยู่ตามเสาหรือมุมตึกบ้าง (เอ่อคือ) พอเห็นอีกทีก็มานั่งอยู่กับพี่ฮัลเล่ย์พี่นุ้กพี่นิวในคลาสนี้แล้ว ก็กำลังจะบอกอยู่นี่แหล่ะว่าพี่เองก็ตกใจเหมือนกัน อืมจริง คือชีวิตตอนโน้นก็ไม่เคยคิดว่าจะมาทำอะไรแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ อืม... แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และที่เป็นแบบนี้มันก็มีที่มาที่ไปจากคลาสที่น้องกำลังเรียนอยู่นี่แหล่ะ :)
กร้อ...ประมาณนี้ละกัน
ยินดีที่ได้รู้จักนะตัวเอง :)