Saturday, November 20, 2010

ตาข้าพเจ้ามั้งแล้วกับไตรภาค

อันตัวข้ามีนามว่า วานิช วานิชานนท์
ชื่อมีความหมายว่าพ่อค้า นามสกุลก็พ่อค้าผู้.....(ไม่แน่นอนในความ
หมายจึงไม่เอ่ยถึง)
เกิดปีที่มีพายุเกย์ ถล่มทางภาคใต้ของไทย ปีที่หลายๆคนเข้าใจผิดว่า
ปีมังกรทอง รูปทางด้านขวานี้คุณแม่เป็นผู้ออกแบบและตัดเอง
ที่ต้องบอกว่าเป็นไตรภาคเพราะคิดว่าจะเขียนให้ได้อีกซักสองบทความ
เป็นพวกจำอะไรตอนเด็กไม่ค่อยได้จำได้เป็นช็อตๆ คำๆ แบบพวกของ
มึนเมาทั้งหลาย เรียนมาจนจบระดับก่อนอุดมศึกษา ผ่านมาแล้ว 7 สถา
บัน อนุบาล 2 ประถม 3 มัธยม 1 และสถาบันที่8 มหาวิทยาลัยมหิดล
ในช่วงประถมนั้น เรียนอยู่ดีีๆ จู่ๆ ครอบครัวก็โยนไปอยู่โรงเรียน
ประจำที่จใสมุทรสงคราม ตอนประถม3 เป็นเวลา1ปี แล้วกลับมาเรียน
ในกรุงเทพต่อ...

มันเกิดอะไรเนี่ย โดนเตะ แล้วดึงกลับ เคยถามคุณแม่เหมือนกัน แต่ได้
คำตอบที่ฟังแล้ว งงๆ ชีวิตโรงเรียนประจำมันก็ดีนะ ได้ฝึกระเบียบ
วินัยในตนเองพอสมควร นี่ละมั้งเหตุผล ที่ส่งไป มาในช่วงประถมปลาย
จำได้ว่าเปลี่ยนศาสนาในช่วงเวลานั้นละ จากไม่มีศาสนา(ถ้าทั่วไปก็
คือศาสนาพุทธนั้นละ)เป็นศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกสาเหตุที่
เปลี่ยนศาสนาในเวลานั้น พูดไปแล้วอาจจะมีคนหมั่นไส้เหม็นขี้หน้าอยากกระทืบขึ้นมา หรือไม่ก็บอกว่าไม่ซึ้ง
ในรสพระธรรมหรือไงฟะ สาเหตุบางส่วนมาจากเบื้องบน(คนปกครอง) ถ้าส่วนตัวคือ ณ ตอนนั้น ศาสนาพุทธ
ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็เลยเปลี่ยน เอ้อถึงตรงนี้คงต้องบอกว่าผมเป็นลูกครึ่งไทย พุทธ-คริสต์ พ่อเป็นพุทธ แม่
เป็นคริสต์ รู้สึกว่าถ้าไล่สายขึ้นไปอีกก็ยังเป็นลูกครึ่งอีกนะ
ชีวิตวัยเด็กนั้นบ้าการ์ตูนมากทั้งดูและอ่าน เกมส์ก็เล่น และก็เป็นเด็กธรรมดาคือเรียนเสร็จเลิก กลับบ้าน
ไม่อยู่เล่นบาสเตะับอล อะไรกับเค้า นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่มีทักษะด้านกีฬากระมั้ง
ขึ้นมัธยมแล้วรูปแบบชีวิตกับคล้ายกับ 2 บรรทัดบนก่อนหน้านี้ เอา ณ ตอนนี้พอก่อนเดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะ
คร้าบบบบ

It's Solo Time...


สวัสดีครับ เมื่อเช้าได้ไปลองนั่งอยู่คนเดียวข้างๆ ทะเลสาบลูกที่ ๑ ในหมู่บ้าน เป็นเวลา ๒ ชั่วโมง กับอีก ๒ นาที โดยเริ่มตั้งแต่ ตี ๕ ๒๓ นาที จนถึง ๗ โมง ๒๕ นาที

จริงๆ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเริ่มตั้งแต่ตี ๕ ตรง แต่ว่าตื่นไม่ทัน ก็เลยเลื่อนเป็นตี ๕ ครึ่ง ที่ต้องเช้าขนาดนี้ก็เพราะว่า ๘ โมง ต้องออกจากบ้านเพื่อไปแลปที่ศาลายาให้ทัน ๙ โมง

จริงๆ ก็มีเสียงต่างๆ นาๆ มากมายที่จะไม่ทำ เช่น "เหนื่อยจัง", "ไว้ก่อนก็แล้วกัน", "วันอาทิตย์ก็ยังมี", "เดี๋ยวไม่มีแรงทำงานนะ", "เช้าขนาดนี้ เดี๋ยวก็ง่วงตอนกลางวันหรอก", "เช้าๆ ยุงเยอะนะ" ฯลฯ

แต่มีอีกเสียงนึงบอกว่า "เอาวะ.. เดี๋ยวจะไม่ได้ทำกันพอดี เพราะอาทิตย์หน้าก็ไปต่างจังหวัดเกือบทั้งอาทิตย์ แ้ล้วตอนนี้สภาพร่างกายก็โอเครอยู่นะ" ก็เลยลุกขึ้นอาบน้ำ และเตรียมอุปกรณ์อันได้แก่
1. ipod touch (ไปใช้จับเวลาอย่างเดียวนะ ไม่ได้เอาไปทำอย่างอื่น)
2. ปากกา, journal (เอาไว้บันทึกหลังจากนั่งเสร็จ)
3. เสื่อ (เอาไว้รองนั่ง)
4. กล้องถ่ายรูป (อันนี้ไม่ได้เอาขึ้นมาถ่ายตอนระหว่าง ๒ ชั่วโมงที่นั่งนะ)
5. ซอฟเฟล
ุ6. กุญแจบ้าน

เอาของติดตัวไปเท่านี้จริงๆ นะ

ก่อนออกจากบ้านก็ไปบอกแม่นิดนึง เดี๋ยวแม่จะตกใจที่ลูกชายหายไป จริงๆ ก็บอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ

จากนั้นก็ออกจากบ้าน ใช้เวลาประมาณ ๓ นาที ก็ถึงจุดริมทะเลสาบที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
จากนั้นปูเสื่อ ตั้งนาฬิกาจับเวลา และทำพิธีกรรมไล่ยุงเล็กน้อย (ฉีดซอฟเฟล) จากนั้นก็เริ่มนั่ง

ตอนนั่งตอนแรกๆ ก็ฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่ + รำคาญยุงโคตรๆ พอได้สติก็ถามตัวเองว่า "เราจะใช้เวลา ๒ ชั่วโมงนี้อย่างไรดี?" ตอนนั้นเท่าที่คิดออกก็จะมี..
๑. อยู่กับลมหายใจ
๒. มองดูทะเลสาบไปเรื่อยๆ
๓. คิดเรื่องงาน

สิ่งแรกที่ตัดสินใจได้ก็คือ จะไม่คิดเรื่องงานเพราะรู้สึกว่านี่มันเป็นเวลาให้มาอยู่กับตัวเอง และธรรมชาติอย่างจริงๆ จังๆ ก็เลยใช้เวลา ๒ ชั่วโมงนั้นไปกับการอยู่กับลมหายใจ และมองดูทะเลสาบ

พอนั่งเสร็จก็มีหลายอย่างที่ surprise ตัวเองมากๆ เช่น
- ๒ ชั่วโมงนี้นั่งขัดสมาธิตลอด แต่ว่าไม่เป็นเหน็บเลย โดยที่ก็ไม่ได้ลุกยืน ไม่ได้เปลี่ยนท่านั่ง หรือชันเข่าเลย เพราะโดยปกตินั่งไม่เกิน ๓ นาที เหน็บก็กินไปครึ่งตัวแล้ว
- มันไม่ได้เหนื่อยอย่างที่คิด พอครบ ๒ ชั่วโมง กลับรู้สึกสดชื่นมักๆ สดชื่นกว่าวันที่เรานอนเยอะๆ เสียอีก

นอกจากนี้ยังได้รู้จักตัวเองในบางแง่บางมุมเพิ่มขึ้นด้วย (แต่ว่าขออุบไว้ก่อน) :-)

สุดท้ายก็อยากจะบอกว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่เค้าใช้กันในระดับโลกเลยนะ อย่างเช่นหลักสูตร Earth Expeditions http://www.earthexpeditions.org/ ที่เค้ามาเรียนเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันที่เมืองไทยเนี่ย เค้าก็มีช่วงเวลา ๒-๓ ชั่วโมงให้ฝรั่งเข้าไปอยู่คนเดียว ในธรรมชาติเหมือนกัน

แต่ต่างกันก็คือฝรั่งที่มาเรียนต้องเสียเงิน 1250$ + ค่าเครื่องบิน แต่ว่า NREM10 ของเราไม่คิดตังค์เพิ่มนะครับ อิอิ.. :-)


ยังไงก็ขอเชิญชวนให้ทุกคนได้ไปลองดูนะครับ :-)

Friday, November 19, 2010


ยินดีที่ได้รุ้จักค่าาาา..บู น้ะ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้แฮะ แต่เวลามีคนถามชื่อ จะต้องมีเครื่องหมายคำถามตลอดเว "อะไรน้ะ?" คือ คงออกเสียงยากมั้ง รึป่าว ซึ่งยายเรา จะเรียก โบ ตลอดอ่ะ ถามแม่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อนี้ แม่บอกว่าตั้งตามละคร เหอะๆ (ไม่เคยจะเห็นมีตัวละครชื่อ บู ???) เกิดวันที่ 4 มีนา แอบดีใจเกิดวันเดียวกะพี่หลุยส์ สก็อต แหะๆ เป็นลูกคนเดียว ตอนก่อนจะคลอดแม่ต้องไปนอนรออยู่โรงพยาบาลตั้งเกือบเดือน เพราะว่าความดันสูง แถมยังคลอดแบบวิธีธรรมชาติไม่ได้ด้วย หมอบอกว่า ไม่งั้นเด็กจะไม่รอด ซึ่งก็คือเราน้ะเอง ก็เลยต้องผ่าท้องคลอด แม่บอกว่าเจ็บมากๆ พอคลอดเสร็จแม่ต้องอยู่โรงบาลอีกเกือบเดือน อีกแล้ว รักแม่จัง รักที่สุด จึงเป็นหน้าที่พ่อที่คอยดูแลเด็กหญิงบูบู้น้อย รักที่สุดเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กเราจะมีหมากะแมวเป็นเพื่อนตลอด ไม่สิ มีลูกพี่ลูกน้องด้วย เป็นเพื่อนกัน เล่นด้วยกัน เซเลอร์มูน กะ ขบวนการเอ็กซ์เรนเจอร์ นี่ประจำอ่ะ ชอบดูการ์ตูนน้ะ แต่ไม่ชอบอ่านการ์ตูนอ่ะ แปลกเน้าะ (แต่ชอบดูสารคดีมากๆ) เป็นเหตุให้น้องเราไม่เคยจะเรียกเราว่า พี่ เลย เรียก บู ตล๊อดดดดดด ตอนเด็กๆ อนุบาล เคยซ้ำชั้นตอนอยู่อนุบาลด้วย เคืองมาก แม่ไปส่งไปโรงเรียน ร้องไห้กลับบ้านตลอด ทั้งๆที่ครูก็ไม่ดุน้ะ ตอนประถมก็เป็นเด็กเรียนดีพอใช้ได้ ลายมือไม่สวย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สวย ชอบวาดรูป ทำงานศิลปะ ทำให้ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งด้วยแหละ ตอนสอบเข้ามอหนึ่งน้ะ ไม่อยากจะบอกว่า สอบได้ที่โหล่ โชคช่วยๆ เพราะแม่ไปบนให้แน่ๆเลย เหอะๆ ไล่ดูรายชื่อติดประกาศ ใจนี่แป้วมาก ในที่สุดก็เจอ สอบติดด้วยโว้ยยยยย พ่อก็แอบให้กำลังใจ เค้าเรียงตามอักษร ลูกชื่ออรทัย รายชื่อก็ต้องอยู่ท้ายๆ อยู่แล้วลูก ฮ่า ฮ่า พ่ออ่ะ

เพื่อน หรือคนที่ไม่สนิท ด้วย จะบอกว่าเราเป็นคนเงียบ พูดน้อย เรียบร้อย เค้าว่ากันอย่างนั้น แต่คนที่เราสนิทด้วย หรือรู้จักตัวตนที่แท้จริง เพื่อนสนิท จะเป็นคนละคนเลย มันเป็นวิธีป้องกันตัว เหอะๆ ชีวิตตอนมัธยมเป็นอะไรที่สนุกสุดๆ เพื่อนไปไหนไปกัน ไปกันทีเป็นโขยงเลย ไปร้องเกะ เที่ยว เรียนพิเศษ ร้องไห้ด้วยกัน ทำให้ยังสนิทกันมาจนทุกวันนี้ พอสอบเข้ามหาลัย สอบตรงก็ได้คณะวิทย์ มหิดลนี่แหละ ติดก็เลยเอาเลย ปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม ตอนนี้ก็ปีสี่ละ จนมาได้รู้จักทุกคนในคลาสนี้ล่ะค๊ะ ใกล้จะจบเต็มที เป็นกำลังใจให้ตัวเอง

ความฝันคือ อยากเป็นนักแข่งรถ (รถยนต์) ชอบอะไรที่เร็วๆ ความเร็ว ถ้าไม่ได้เป็น ขอแค่ได้ดูการแข่งขันก็มีความสุขแล้วอ่ะ การเดินทางท่องเที่ยวก็เป็นความฝันอีกฝันหนึ่งเช่นกัน และฝันนี้จะทำให้เป็นจริงให้ได้ด้วย ทำงาน เก็บตังค์ พาพ่อกับแม่เที่ยว โอ้ววว ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร ขอขีดเส้นใต้ไว้เลย

ยินดีที่ได้รู้จักจ้า.

Wednesday, November 17, 2010

ตัวฉันเมื่อวานนี้

แนะนำตัวบ้าง เพราะพึ่งจะจัดสรรเวลาว่างให้ชีวิตตัวเองได้ (วันนี้วันแรกที่รัสเซียยังไม่มีกิจกรรมอะไร อากาศหนาวมาก) หวังว่ามันจะไม่ยาวเกินไปนัก

สวัสดีค่ะ ชื่อจริงชื่อสุภัชญา เตชะชูเชิดค่ะ สุภัชญา แปลว่าผู้ใฝ่รู้ ชอบชื่อนี้มากๆเลย เพราะว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครชื่อเหมือนกัน จะมีก็คล้ายบ้างแต่ตัวสะกดก็ไม่เหมือนกัน และความหมายก็ค่อนข้างตรงกับนิสัยตัวเองมากๆด้วย ส่วนชื่อเล่นพ่อแม่จะเรียกว่าแอน ถ้าเพื่อนๆก็เรียกเหม้ง เถิก เป็ด แว่น และอื่นๆอีกมากมาย

แอนมีพี่สองคน พี่สาวเป็นคนโตห่างกัน 12 ปีหรือหนึ่งรอบพอดี และพี่ชายคนกลาง แอนเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่สาวเหมือนมีพี่ชายและมีพี่ชายก็เหมือนมีพี่สาว ซึ่งพี่ๆก็มีอิทธิพลมากในชีวิต มากกว่าพ่อกับแม่ซะด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่แอนจะมีนิสัยและท่าทางกระโดกกระเดกแบบนี้ บางคนก็บอกว่า hyper เพราะว่าจะยืนหรือทำอะไรนิ่งๆไม่ได้ พี่สาวเป็นแอร์ทำให้ได้ผลประโยชน์ได้ไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี้ พี่ชายเป็นช่างภาพทำให้เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปไปด้วยและร่ำเรียนวิชาความรู้ต่างๆมาจากพี่ชาย ซึ่งก็โดนว่า (ด่า) ไปเยอะกว่าจะถ่ายได้อย่างทุกวันนี้

ชีวิตวัยเด็กๆก็เป็นเด็กที่ธรรมดามาก เรียนๆเล่นๆ แถมยังทึ่มๆด้วย สอบได้ที่ 25 ในห้องมี 30 คน จำได้ว่าตอนเล็กๆสอบคำตรงกันข้าม มืดคู่กับอะไร เราก็นึกไม่ออกเลยตอบไปว่า “ไม่มืด” และก็กลัวข้ออื่นผิดเลยแก้คำตอบข้ออื่นหมดเลย ขาว ตรงข้ามกับ “ไม่ขาว” ร้อนตรงข้ามกับ”ไม่ร้อน”..... (ก็มันจริงๆนี่หนา ทำไมครูต้องมาตีกรอบความรู้ของเราด้วย เนอะๆว่าป่ะ)

พูดไปคนที่รู้จักกันก็อาจจะไม่ค่อยเชื่อว่าตอนเด็กแอนเป็นคนเงียบๆ ขี้อาย แล้วยังหวานแหววด้วย ชอบสีชมพู เล่นบาร์บี้ มีเสื้อคิตตี้เต็มไปหมดเลย หมวกสีชมพู บลา บลา บลา แบบเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง “เฮ้ย! แล้วทำไมแกกลายเป็นงี้ได้ว่ะ” จุดหักเหของชีวิตเกิดจากการได้เข้าค่ายแรกในชีวิตตอนม.1 แล้วก็รู้สึกว่าเพื่อนที่ไปค่ายด้วยกันเท่ห์ๆดูทะมัดทะแมงดี หลังจากเข้าค่ายบ่อยเข้าก็พบว่าตัวเองเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งความรู้ที่ได้รับ แนวคิด การจัดการ กระบวนการค่าย การแต่งตัว นิสัย จนมาถึงวันนี้ในตัวเราก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่จะเป็นยังไงต่อไปก็สุดที่ตัวเราเองจะคาดเดาได้

Tuesday, November 16, 2010

หยิน แนะนำตัว






สวัสดีค่ะ หลังจากได้อ่านของหลายๆคนไปแล้วก็คันไม้คันมืออยากจะเขียนมั่งแล้วล่ะ ^^

ทุกคนมีที่มา มีเรื่องราว และมันเป็นสิ่งที่พิเศษ เพราะถ้าหากมันผิดเพี้ยนไปจากนี้แม้แต่น้อย มันก็อาจจะไม่ใช่เราในวันนี้ (จากหนังสือซักเรื่องนึง..)

นางสาวธนาลัย พูลศิริ ชื่อเล่น หยิน เกิดเมื่อเวลาตี 2 โดยประมาณของ วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2533 (เป็นความสับสนอยู่เสมอเวลาจะดูดวงตามหน้าหนังสือพิมพ์ ว่ามันนับเป็นวันจันทร์หรือวันอังคารในทางโหราศาสตร์ เลยอ่านมันทั้งสองวันนั่นแหละ)

พ่อเป็นคนจังหวัดลพบุรี เป็นครอบครัวทหาร แม่เป็นคนจีน อยู่ที่อ.เบตง จ.ยะลา พ่อกับแม่เป็นครู บรรจุเป็นครูที่จ.ตาก พบรัก และอยู่ด้วยกันมาจนทุกวันนี้ ลูกจึงเป็นคนจังหวัดตากโดยกำเนิด มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ หยี ห่างกันขวบครึ่งพอดี (พี่ สาวเกิด 1 พ.ย 31) ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ด้วยกัน พี่เลี้ยงชีพด้วยการขาย Herbalife ตอนนี้เปลี่ยนมาขาย agel แล้ว เคยทะเลาะกันพอสมควร เรื่องการเริ่มต้นธุระกิจนี้ สุดท้ายเราก็แพ้ด้วยเหตุผลที่ว่า ..ชั้นเป็นพี่แกนะ!! ไม่เคยเถียงใครชนะ แม้ว่าเราจะมีเหตุผลที่เข้าท่ากว่า (ถ้าใครเคยสงสัยว่าพวกแท็กรูป ส่งเมลล์น่ารำคาญ มันเป็นใคร ก็พี่สาวดิฉันนี่แหละค่า)

บ้านที่อาศัยเมื่อครั้งอยู่จ.ตาก เป็นบ้านพักครู ห่างจากตัวเมือง 20 กม. ตื่นแต่เช้าไปเรียนทุกวัน(แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันกลายเป็นนิสัย) การตื่นสายถือเป็นความผิดมหันต์ เพราะมันลำบากที่จะหารถไปส่ง รถที่นั่งไปเรียกว่ารถคอกหมู เพราะมันเหมือนรถขนหมู หน้าต่างรอบทิศ เวลาหน้าฝน เราต้องกางร่มเวลานั่งรถด้วย นั่งรถแบบนี้ตั้งแต่อนุบาล 1 จนจบ ม.6 ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม หรือเรียนพิเศษกับใครเค้าเพราะต้องกลับบ้านเป็นเวลา เป็นคนที่จดจำรายละเอียดชีวิตไม่ค่อยได้ กะเวลาหรือปริมาณของอะไรไม่เป็น นับเงินทอนเงินนี่อย่าได้ถาม ช่วยคิดมาให้เสร็จเลยว่าฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ เป็นคนเชื่อ คล้อยตามอะไรได้ง่าย ในวัยเด็กเวลาเปิดเทอมจะอยู่กับพ่อแม่ ปิดเทอมเล็กไปอยู่กับปู่ย่าที่ลพบุรี ปิดเทอมใหญ่ไปหาตาที่เบตง เป็นอย่างนี้ทุกปี ตอนอยู่กับปู่จะต้องไปเรียนว่ายน้ำกับคุณครูที่ใส่กางเกงลายเสือดาว กินข้าวเหนียวไก่ย่าง และวาดรูปเล่น ชอบวาดรูปโรงแรม วาดทุกวัน จินตนาการว่าแป็นเจ้าของ พอถึงวันที่พ่อจะมารับจะเลือกโรงแรมที่สวยที่สุดพับเป็นซอง เก็บเอาไว้ให้ ปิดเทอมใหญ่ไปหาตา หลาน 12 คนจะมารวมตัวกันในวันเชงเม้ง ต้องตื่นเช้ามากๆเพื่อไปกินติ่มซำ กลับมาก็เล่นไพ่ 12 คนก็ได้หลายวงอยู่ ตกดึกผู้ใหญ่ก็เปิดวงนกกระจอก นั่นคือที่จำได้

เป็นคนเมารถ อาการคือน้ำตาจะเริ่มใหลพราก ในรถจะมีถุงไว้เสมอๆ เป็นเด็กหน้าตาเหมือนเด็กดอย เค้าชอบบอกให้เราคอยหลบเวลาผ่านด่านแม่สอด เป็นเด็กตัวเล็ก(มาก) ผอม จนเค้าหาว่าเป็นพยาธิ ขึ้นรถเป็นหลับ ใกล้ไกลแค่ไหนก็ตาม ถ้ามีของให้เลือกกินจะกินอันที่น้อยกว่า เป็นเด็กติดบ้าน พ่อจะต้องเคี่ยวเข็ญ “ ออกไปเล่นสิ!

พ่อแม่เลี้ยงแบบ..ไม่รู้จะพูดยังไง เคยงอแงไม่ยอมไปเรียน บอกตามตรงว่าแค่อยากรู้ว่าแม่จะทำอย่างไร แม่ก็ไม่มีเวลาจะมาดูเรา เค้าต้องไปทำงาน จึงให้เราไปเลี้ยงวัวกับป้าข้างบ้าน -_-“ จากนั้นไม่เคยงอแงอีกเลย พ่อแม่ใช้ระบบสินเชื่อ เชื่อใจการตัดสินใจของลูก ทำให้เวลาเราจะตัดสินใจทำอะไรหน้าท่านจะลอยมาก่อนเลย

เรื่องเรียนความจำมันจะกระโดดๆ ได้ที่ 3 ตอนป.3 ที่ 1 ตอนป.6 สอบเข้ามัธยมได้ที่ 1 ของรร.ประจำจังหวัด(ปลื้มมม) ม.ปลาย ได้เข้า สอวน. อารมณ์ งงๆ สอบเพราะเขาสอบกัน ไปแบบไม่รู้ว่า 15 วันเค้าจะให้ไปทำอะไร หลุดไปจนถึงค่ายสาม ไปแข่งที่ม.เกษตร ถือเป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกันที่พาเราเข้าสู่แวดวงวิทยาศาสตร์ เกรดม.ปลายได้ 4.00 เป็นที่ 1 ของรร. สอบติดรับตรงแพทย์มช. แต่สละสิทธิ์ โดนด่าเสียงขรม เพราะเป็นการคัดเอา 20 อันดับไม่เลื่อนอันดับ แต่พ่อแม่ไม่ว่าอะไร และมันก็เป็นบทเรียนสำคัญอีกอันหนึ่งในชีวิต ต่อมา ติดแพทย์ม.เนศวร และสละสิทธิ์ พ่อได้ซื้อตึกเพื่อทำเป็นหอพักไว้แล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

ถึงตอนนี้(ตอนที่เขียนนี่ล่ะ)รู้สึกขอบคุณพ่อแม่มากๆ ที่เชื่อใจและให้เราได้ตัดสินใจในทางเดินของเรา รู้สึกว่ามันมีค่ามากๆ ทำให้เราตั้งใจ และจะพยายามมีชีวิตที่ดีต่อไป พยายามค้นหาตัวเองต่อไป

อ้อสุดท้ายเป็นคนที่ impress กับแทบจะทุกสิ่งในชีวิตที่เป็นเรา ตั้งแต่พื้นเพของพ่อแม่ วันเกิดของตัวเอง(วันแรงงานน่ะ)กับของพี่ที่เป็นวันที่ 1 เหมือนกัน ความเป็นลูกครึ่งของตัวเอง ชื่อของตัวเอง และ บลา บลา บลา อ่อ แล้วก็คงเป็นเหตุที่ทำให้ ตัวเล็กไม่กลายเป็นปมชีวิต

มีทางเลือก (ไม่)มีทางรอด : ยังไงก็ขาดทุน

บทความนี้เขียนขึ้นเองเมื่อต้นปีครับ อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันครับ
========

"หากเราเปิดตู้เย็นทิ้งไว้ในห้องที่ปิดสนิท ในที่สุดแทนที่ห้องจะเย็นกลับกลายเป็นห้องจะร้อนขึ้น"

ประโยคนี้มาจากชั้นเรียนเทอร์โมไดนามิกส์ของวิชาฟิสิกส์ปี 1 ซึ่งยังคงจำได้ดี ถึงแม้ตอนนี้จะเรียนสายชีววิทยาแล้ว ประโยคนี้ยังคงใช้มองโลกได้เสมอ

โดยหลักการทางเทอร์โมไดนามิกส์นั้น การที่เราจะให้เครื่องจักรทำงานให้เราปริมาณหนึ่งนั้น เราต้องให้พลังงานเครื่องจักรเข้าไปมากกว่าที่มันต้องการ โดยส่วนต่างมักจะกลายเป็นความร้อนสูญเสียออกมา ทำให้เราอธิบายได้ว่า เมื่อเราเปิดตู้เย็นทิ้งไว้ ความร้อนที่เกิดขึ้น ก็จะมาจากพลังงานที่ดึงออกจากอากาศจนเย็นตัว บวกกับความร้อนที่ต้องใส่เพิ่มแต่ดันสูญเสียออกจากระบบ ยิ่งทำความเย็นเท่าไหร่ ความร้อนก็ยิ่งเกิดมากกว่านั้น หากไม่เชื่อ ให้ลองย้ายคอมเพรสเซอร์แอร์ที่บ้านท่าน เข้ามาในบ้านแทนซิครับ แล้วจะรู้ว่า มันเป็นอย่างไรเมื่อเปิดแอร์ไปซักพัก

ไม่เพียงแต่แอร์หรือตู้เย็น ทุกเครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดพลังงานทั้งหลาย ก็เป็นไปตามกฏเทอร์โมไดนามิกส์เช่นกัน เราอยากให้รถวิ่งได้งานเท่าไหร่ พลังงานก็ต้องใช้มากกว่านั้น ที่เหลือเป็นความร้อน หรือว่าอยากได้ไอน้ำไปหมุนกังหันดูดพลังงานเท่าไหร่ เราก็ต้องใส่พลังงานเข้าไปมากกว่านั้น แล้วที่เหลือ ก็ออกมาเป็นความร้อนที่สูญเสีย

รู้มั้ยครับว่าทำไมเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเพอร์เฟคครับ รู้มั้ยครับว่าเครื่องยนต์รถทั่ว ๆ ไปมีประสิทธิภาพเพียง 30-40 เปอร์เซน ลองคิดดูว่าเราใช้น้ำมันไปเพื่อผลิตความร้อนที่ไม่จำเป็นมากขนาดไหน หากเครื่องจักรทำงานได้ 100 เปอร์เซนต์เต็มแล้วล่ะก็ คงไม่มีปัญหานี้ล่ะครับ (ทำให้เห็นว่า ไอ้เครื่องจักรตรีเอกานุำภาพที่เคยเป็นข่าวในห้องหว้ากอพักนึงนั้น เป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดี เค้าบอกว่า เค้าทำให้พลังงานที่ได้จากเครื่องกำเนิดพลังงานของเค้าเนี่ย มากกว่าที่ใส่ไปซะอีก โอ้วแม่เจ้า!!!)

ในเมื่อเครื่องมือเครื่องจักรทุกอย่างยังไม่สมบูรณ์แบบ สูญเสียความร้อนออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า เครื่องจักรอุตสาหกรรม ยานพาหนะต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งหม้อหุงข้าวอุ่นทิพย์ในบ้านเรา ก็ต้องใช้พลังงานมากกว่างานที่ทำได้ แล้วปล่อยความร้อนออกมา เมื่อทุกอย่างพร้อมใจกันปล่อยความร้อนออกมา ก็ไม่แปลกที่โลกเราจะร้อนขึ้นครับ เพราะความร้อนเรามากขึ้น แต่อัตราการระบายความร้อนออกสู่อวกาศกลับน้อยลง(โดยความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศที่เพิ่มขึ้น) จนเกิดความเคลื่อนไหวและเป็นกระแสสังคม(จมปลักแต่ถุงผ้า)ในปัจจุบัน

ท่านผู้อ่านสังเกตอะไรมั้ยครับ ว่าหากนำพลังงานที่เราใช้เพื่อขับเคลื่อนเครื่องจักรเหล่านั้น มาหลักลบกับงานที่เครื่องจักรทำให้ เราจะพบว่าเรา "ขาดทุน" มาตลอด แถมได้ความร้อนไม่พึงประสงค์อีก เพียงแต่ในสถานการณ์จริงนั้น เราเลือกจะผลักใสส่วนที่ขาดทุน ให้อยู่ไกลตัวมาตลอด และเรื่องนี้ไม่เกิดเฉพาะกับเครื่องจักร แต่มันเกิดกับหลาย ๆ อย่าง เช่น...

...เราเปิดแอร์ให้ห้องเราเย็น แต่เกิดความร้อนมากกว่านั้นข้างนอก...
...เราทำปลากระป๋องผ่านกรรมวิธีเพื่อความสะอาด แต่เกิดน้ำเสียจากกระบวนการมากมาย...
...เราล้างจานให้สะอาด โดยการผลิตน้ำสกปรกออกมาแทน...
...การให้คนคนหนึ่งรวยขึ้น มักจะตามมาด้วยความยากจนของคนมากกว่าหนึ่งคนเสมอ...

เมื่อหักลบกันโต้ง ๆ แล้ว เรา "ขาดทุน" ชัด ๆ

กลับมามองสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในปัจจุบัน แหล่งพลังงาน และวิธีใช้พลังงานของมนุษย์นั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมากนัก ตั้งแต่การใช้ถ่านไม้ถ่านหิน ถึงปัจจุบันยุคของปิโตรเลียมและนิวเคลียร์ เราใช้เชื้อเพลิงเหล่านี้ ต้มน้ำ หมุนกังหันผลิตไฟฟ้า แล้วส่งตามสาย หรือ ป้อนให้เครื่องยนต์ประสิทธิภาำำพต่ำทำงานแล้วสูญเสียความร้อน ซึ่งดำเนินความ"ขาดทุน"มาตลอด แม้ว่าประสิทธิภาพของเครื่องจักรจะสูงขึ้นตามการพัฒนาของมนุษย์ แต่ด้วยจำนวนที่มากขึ้น ความร้อนที่สูญเสียรวม มันก็มากขึ้นอยู่ดี (แนะนำผู้อ่านอ่านเรื่อง Urban Heat Island) โลกก็ได้ความร้อนมากขึ้น แต่ระบายได้น้อยลง...

เมื่อประเด็นภาวะโลกร้อนแดงขึ้นมา ประชาชนชาวโลกหลายภาคส่วนก็มีการตื่นตัวต่อการแก้ปัญหานี้(จริงใจหรือแค่ภาพลักษณ์ทางธุรกิจก็อีกเรื่อง) โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่การกล่าวโทษก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกรองอื่น ๆ(เช่นมีเธน ไอน้ำ ฯลฯ) ว่าเป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อนขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ"พลังงานทางเลือก" ที่มีจุดประสงค์ในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมให้ได้ เช่น พลังงานที่เป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการสังเคราะห์แสง หรือพลังงานไฮโดรเจน โดยมีการวิจัยเกี่ยวกับพลังงานดังกล่าวมากมาย

แต่ทุกท่านอาจจะนึกหรือไม่นึกก็ตามแต่ ไม่ว่าเราจะใช้พลังงานอะไรในการขับเคลื่อนเครื่องจักร มันก็เกิดความร้อนสูญเสียออกมาทั้งนั้น ไม่ว่าพลังงานของท่านจะ Zero Emission แต่เครื่องยนต์ของท่านก็ทำให้เกิดความร้อนสะสมอยู่ในโลกอยู่ดี เรื่องอนาคตไม่ต้องพูดถึง ประชากรมากขึ้น อะไร ๆ ก็มากขึ้น ได้เฮแน่!

ยิ่งเราพยายามเพื่อที่จะ "ขาดทุน" น้อยลงเท่าไหร่
เราก็ยิ่ง "ขาดทุน" เท่านั้น(หรือมากกว่านั้น)

ถึงเรามี"ทางเลือก"มากมายไม่รู้จบ
แต่ทุกทางเลือก กลับไม่ใช่ "ทางรอด"ของเราหรอก

โลกเราตอนนี้ก็เหมือนตู้ปลา เราก็เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ เราหายใจ เราขี้เยี่ยว น้ำก็สกปรก เราอาจจะรวมสิ่งสกปรกไว้ที่เดียวกันเพื่อคงความสะอาดของน้ำที่เราอยู่ได้ แต่เราทำได้ไม่ตลอดไปหรอก ซักวันหนึ่ง หากสิ่งไม่ดีที่เราทำเอาไว้มันล้นมาจริง ๆ หวังว่า เราคงจะมองโลกใหม่ เพื่อให้สรรพชีวิตอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้จริง ๆ (แต่จะมีวันนั้นหรือไม่อันนี้ไม่ทราบ แต่ปัจจุบันไม่เห็นแนวโน้ม)

สำหรับผู้เขียนนั้น เท่าที่รู้มา เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพที่สุด(กินไฟต่ำ แต่ทำงานได้มาก) เห็นจะเป็น"มันสมอง"ของมนุษย์เรา ๆ นะครับ ก็ไม่แน่นะครับ ในการทำโลกใบนี้ให้น่าอยู่ หากเราใช้สมองให้มาก ใช้เครื่องจักรให้น้อย อะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้

"เพราะยังไง...เครื่องจักรใด ๆ ก็สู้ภูมิปัญญาที่สรรสร้างพวกมันขึ้นมาไม่ได้หรอก"

จบ

หมูอ้วนพิทักษ์ดวงดาว



คนเราทุกคนต่างก็เป็น "หมาน้อยพิทักษ์ดวงดาว" กันทั้งนั้น นั่นสิ ไม่ว่ายังไงเราก็จะมีสิ่งที่รู้สึกว่า "ยากยิ่ง" "ยากเกินเอื้อม" "ยากโคตร" อยู่เสมอ และก็มีกันทุกคนแหละ

ตั้งแต่ Steve Jobs ยันยายสาที่บ้านถูกน้ำท่วม+นาข้าวเจ๊ง
แล้วดวงดาวดวงไหนนะที่เราเฝ้ามอง...ไม่สิ "พิทักษ์" อยู่
แม้จะได้แค่ "พิทักษ์" แต่เราก็ยังมีความหวังอยู่...จริงๆ...ใช่ไหม?

๐ ดั่งในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวีง ๐

เรายังมีหวังอยู่...ใช่ไหม
ยังอยากได้มาครอบครอง
ยังอยากได้มาไว้ในมือ
ยังอยากได้อยู่ใกล้ "ดวงดาว" ดวงนั้น
หรือเปล่า

หรือ...จริงๆ...แค่ได้ "พิทักษ์" ก็มีความสุขแล้ว
ฉันอาจจะอยากได้หรือไม่อยากได้ "ดวงดาว" ดวงนั้น
แต่การได้ "พิทักษ์" ก็มีความสุขละ เหมือนตอนที่ฉันดูดาวจริงๆ นั้นล่ะ

ไม่ต้องลงมาก็ได้ เพราะลงมาแล้ว "ท้องฟัา" อันเป็นที่สถิตของ "ดวงดาว" จะสวยงามและน่าชื่นชม...น้อยลง

เขียนที่ Starbucks Coffe สาขา La Villa อารีย์
2 พ.ย. 2010

Monday, November 15, 2010

รู้จักกับวิเศษณ์นิยม

สวัสดีครับมิตรรักแฟนเพลงผู้ร่วมเดินทางใน NREM 10 ทุกท่าน ผม นายวิเศษ บำรุงวงศ์ กลับมารายงงานตัวอีกแล้วครับทั่น (ทั้ง ๆ ที่เขียนเป็นโพสต์แรก) ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ อ้อ ไม่ลืมที่จะโปรโมตผลงานครับ ไปที่นี่ได้เลยคร้าบ เป็นบล็อกชิมอาหารครับ ใครต้องการรีเควสต์ร้านมาก็ยินดีครับ (แต่ถ้าแพงก็ช่วยค่าอาหารหน่อยก็ดี แหะ ๆ)

http://blokkirk.wordpress.com


ทำไมต้องวิเศษณ์นิยม
เป็นชื่อของยาสีฟันชื่อดัง แถมยังพ้องกับชื่อจริงตัวเอง บวกกับมีคำว่านิยมเป็นมงคลว่าจะได้รับความนิยม จึงใช้นามแฝงนี้เรื่อยมา และเรื่อยไป

ทำไมชื่อเล่นชื่อเกิ๊ก
เดิมชื่อ"เกริก" แต่พอดีอาม่าเรียกไม่ถนัด เอาง่าย ๆ เกิ๊กแล้วกัน ภายหลังมาพ้องกับชื่อดาราฝรั่ง Kirk Douglas เลยโป๊ะเชะชื่อนี้ไม่ขี้เหร่จะจะบอกให้

ชีวิตในวัยเด็ก
วัยเด็กเท่าที่จำได้(และรู้สึกอยากเล่า) เป็นวัยเด็กประถม ด.ช.เกิ๊กในตอนนั้น เป็นเด็กที่รักการอ่าน สนใจใคร่รู้ในเรื่องธรรมชาติ โดยเฉพาะ อวกาศ ไดโนเสาร์ และปลาทะเล ด.ช.เกิ๊กเป็นคนที่จำเก่ง จำชื่อปลาทะเลในหนังสือทุกเล่ม จำว่ายานอวกาศอะไรไปสำรวจดาวไหนก่อนหลังอะไร จำได้แม้กระทั่งจีนัสของไดโนเสาร์เกือบทุกจีนัส ด.ช.เกิ๊กชอบวาดรูปไดโนเสาร์และปลาทะเลติดไว้ในห้องนอนตัวเอง มีหุ่นจำลองและหนังสือไดโนเสาร์จำนวนมาก สถานที่ที่ด.ช.เกิ๊กมักรบเร้าให้พ่อแม่พาไปอยู่บ่อย ๆ คือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และร้านหนังสือ
นอกจากนี้ ด.ช.เกิ๊กเป็นเด็กที่ชื่นชอบเลโก้เป็นอย่างมาก และรู้สึกขอบคุณของเล่นชนิดนี้ที่สร้างให้ ด.ช.เกิ๊กมาเป็นวิเศษณ์นิยมอย่างทุกวันนี้ได้ รู้สึกว่าได้ใช้สมองทั้งสองซีกในการเล่นของเล่นเทพ ๆ ชนิดนี้

เหตุการณ์หักเหชีวิต (1)
ช่วงมัธยมปลายได้โอกาสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ณ ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปี เมื่อกลับมา ผู้คนก็ถามถึงว่าได้อะไรจากที่นั่นบ้าง หากตอบแบบนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ดีก็คงตอบว่า ได้เรียนรู้วัฒณธรรม บลา ๆ ได้ภาษาญี่ปุ่น (ซึ่งติดตัวถึงทุกวันนี้) แต่สิ่งที่ได้จริง ๆ คือหลังจากติดตามข่าวการเมืองและสังคมตลอดที่อยู่ที่นู่น ผนวกกับซึมซับและเห็นสิ่งดี ๆ ของญี่ปุ่นเข้า จึงบังเกิดเป็นอุดมการณ์ที่ว่า เราต้องไปเป็นอะไรที่ช่วยสร้างสรรค์สังคม(ที่กำลังต่ำลง) ให้มาก

เหตุการณ์หักเหชีวิต (2)
เทอมที่แล้ว ได้มีโอกาสไปฝึกงาน ณ Washington University ครั้งนี้กลับมาตอบไม่ถูกเลยทีเดียวว่า "ไปทำแลปกลับมาเป็นไงมั่ง" เพราะสิ่งที่ได้เกิดขึ้นที่นั่นก็คือ ความตระหนักรู้อย่างหนักแน่นว่า ภาพตัวเองในอนาคต มองไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในนั้นแม้แต่น้อย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ในตอนแรก (ตอนนี้รู้กันเยอะแล้ว)

ต่อไปจะทำอย่างไร
ตอนนี้ทำอยู่หลายวิธีเพื่อการค้นพบตนเอง ทั้งอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ครุ่นคิดอย่างหนัก ศึกษานพลักษณ์ ฯลฯ แต่ก็พอลาง ๆ ว่ามีความสุขเมื่ออยู่กับอาหารและเทคโนโลยี ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า วิเศษณ์นิยมจะเป็นไปอย่างไรต่อไป

ความคิดส่วนตัว
คิดว่า ทุกคน เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติขั้นต้น ที่ไม่เหมือนกัน พร้อมกับทรรศนคติที่พัฒนาตามวัยและประสบการณ์ ให้มาทำหน้าที่ต่าง ๆ กันในสังคม แต่ละคนทำได้ดีที่สุดกับหน้าทีเพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้เฝ้าค้นหาตนเองเรื่อยมาว่า"เรา"นั้น เหมาะกับหน้าที่ไหนของสังคม แต่ขอให้เชิดชูสังคมให้งอกงามและเลี้ยงดูคนที่รักได้ก็น่าจะโอเค

แนวคิดต่อทรัพยากรณ์ธรรมชาติ
แต่ก่อนมีอุดมการณ์ทางพลังงานค่อนข้างมาก หวังกับพลังงานสะอาดที่ช่วยชะลอโลกจากภาวะโลกร้อนที่เลวร้ายลงเรื่อย แต่ไม่นานมานี้พึ่งตระหนักได้ว่า ยิ่งเราดิ้นรน สรรหาเครื่องมือเครื่องจักรแบบใหม่ เราก็ยิ่งฝากขยะและความร้อน(ตามหลักเทอร์โมไดนามิกส์) ไว้กับโลกมากกว่าเดิมมาก ๆ ในกระบวนการผลิต จึงหันมาสนใจการจัดการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้มากขึ้น ส่วนตัวคิดว่ามันทำได้เร็วกว่าและดีกว่าซะด้วย

สุดท้ายนี้อยากบอกกับอะไรกับคนอื่น
ฝากเนื้อฝากตัวกับผู้ร่วมชั้นทุกท่านด้วย มีอะไรคุยกันได้เต็มที่เลยครับ เป็นคนคุยสนุก ออกรสออกชาติ คุยได้ทุกเรื่อง ถึงไม่รู้เรื่องก็จะคุย ฮ่า ๆๆๆ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ

ปล. เข้าไปเยี่ยมบล็อกนักชิมกันบ่อย ๆ ครับ

วิเศษณ์นิยม (วิเศษ บำรุงวงศ์)

เราคือใคร



สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ผมเวฟเองครับ ชื่อจริงก็ ณัฐภัทร ใจห้าว ปีสี่ละครับ ภาควิชาฟิสิกส์ จะบอกอะไรดี ว่าเราเป็นใคร อยากรู้จักแบบไหนบ้าง เพราะปกติก็ไม่ช่อยชอบบอกว่าเราเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะคนอื่นมองมาน่าจะเห็นมากกว่า ผมเป็นคนนครศรีธรรมราชครับ ทั้งพ่อทั้งแม่เลย อยู่มาตั้งแต่น้ำท่วมภาคใต้ปี 2531 แม่เล่าว่าพ่อมาเราที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือนขึ้นหลังว่ายน้ำขึ้นไปอยู่บนหลังคา ดีที่เกิดมาตอนน้ำท่วม แม่ยังมีนมให้กินอยู่ ไม่งั้นคงอดตายบนหลังคาบ้านไปแล้ว ฮ่า ๆ ๆ แม่ชอบเล่าให้ฟังว่าเล็ก ๆ เราชอบทานอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง อันที่จริงบางเรื่องก็ไม่ค่อยอยากรู้หรอก แต่เวลาแม่เล่าแม่จะดูเป็นประกายมาก แล้วก็รู้สึกรักแม่จังเลย ฮ่า ๆ ๆ เป็นความสุขของคนเล่าที่เหมือนได้เข้าไปในอดีตอีกครั้ง
ทั้งพ่อและแม่ของผมเป็นครู สอนวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ มันเลยเหมือนโดนฝังให้ใกล้ชิดเรื่องพวกนี้ ครอบครัวผมแปลก ๆ เพราะพ่อจะพูดมากกว่าแม่ ถ้านั่งรถไปไหนกับพ่อกับแม่ แม่จะนั่งเงียบ พ่อจะมีเรื่องเล่าและวิภาควิจารณ์ดินฟ้าอากาศบ้านเมืองประเทศชาติการทหารคมนาคมหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ขับรถผ่านได้ตลอดเวลา จนงงว่า พ่อไปรู้มาจากไหน แล้วมันจริงบ้างป่ะเนี่ย นิสัยพูดมากแบบนี้เหมือนผมจะได้มาจากพ่อเลยหละ แต่ต่างที่พ่อผมกล้าพูด ผมกล้าน้อยกว่า ทุกครั้งที่ต้องพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ต่อให้เป็นครั้งที่พันของชีวิตการทำงานก็ตาม ก็ยังอดขาสั่นมือเย็นเหงื่อมท่วมไม่ได้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมมีน้องสาวอีกหนึ่งคน ห่างกับผมราวสี่ปี ทั้งผมและน้องเหมือนกันอยู่คือชอบร้องเพลงมาก เหมือนพ่อ ฮ่า ๆ ๆ พ่อผมร้องเพลงโอเคอยู่เมื่อเทียบกับแม่ที่ค่อนข้างเพี้ยนอย่างไม่ปรานีคนฟัง หากวันไหนที่น้องกลับมาแล้วมีเพลงใหม่ ๆ ก็จะมาร้องโหยหวนกันอยู่สองคน ฮ่า ๆ ๆ ดูปัญญาอ่อนดี
ตอนเด็ก ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าอยากเป็นนอะไร แต่เคยเปิดไปเจจอสมุดตอนป.หนึ่งที่เขียนไว้ว่า ฉันอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่ถ้าถามผมตอนนี้เหรอ ฮ่า ๆ ๆ จะอยู่เหนือเพื่ออะไร ผมไม่ได้อยากเป็นอะไรมากไปกว่าผมอยากทำอะไร ตลอดเวลาม.ปลาย ผมเฝ้าหาว่าผมอยากเป็นอะไร และมั่นใจเหลือเกินกับการเลือกเดินในทางสายวิทยาศาสตร์ และต้องฟิสิกส์เท่านั้น เพราะผมคิดว่ามันเม่ท์มาก และหาเหตุผลนานาประการว่าเมื่อจบแล้วมีสายงานรองรับเพียบ แต่ที่อยากเป็นสุดต้องเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย โห สุดยอดไปเลย ผมคิดว่าน่าจะทำได้ และต้องทำให้ได้ เพื่อนหลายคนไม่คิดเช่นนั้น เขามองว่าผมน่าจะไปเรียนนิเทศไม่ก็การแสดงอะไรพวกนี้ หรือเบนสายไปเลย แต่ใครมันจะรู้จักเรามากไปกว่าตัวเอง ความคิดของผมในตอนนั้นพุ่งขึ้นมา ฮ่า ๆ ๆ สมัยเรียนมัธยม ผมเคยเล่นทั้งละคร รร. จัดทำละครเอง โต้วาที ทอล์คโชว์ พอถึงตอนสัมภาษมหิดลนี่ในแฟ้มผลงานแทบไม่มีผลงานทางด้านวิยาศาสตร์เอาซะเลย แต่ผมก็เข้ามาเรียนได้นะ เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ได้ยืนชี้หน้าอาจารย์ห้องสัมภาษแล้วบอกว่า "ไม่อยากเรียนโว้ยยย" มหาลัยเป็นช่วยเวลาที่ผมใฝ่ฝันมากที่สุดช่วงหนึ่ง ผมไม่อยากกลับไปเป็นเด็กแม้คนที่ขึ้นมามากมายจะบอกว่า โตขึ้นแล้วจะอยากกลับไปเป็นเด็ก ฮ่า ๆ ๆ ผมไม่อยากเป็นเด็กมัธยมอีก และผมก็อยากจะโตขึ้นเรื่อง ๆ ผมอยากออกไปไหนต่อไหน อยากอิสระ อยากทำอะไรที่อยากทำ เมื่อขึ้นมาในมหาลัยนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมไม่ต้องแคร์ว่าต้องกลับบ้านก่อนอาทิตย์ตกดิน หรืออะไรก็ตาม ก็ไม่เชิงว่าเก็บกด แต่ผมก็ได้ทำอะไรเยอะแยะเมื่อขึ้นมหาลัย และแม่ผมก็โตตามไปด้วยที่จะเห็นว่าผมโตขึ้นเรื่อย ๆ และไม่สามารถห้ามไม่ให้ผมใส่กางเกงขายาวหรือเสื้อเชิ้ตได้อีก เพราะแม่อยากให้ผมใส่ขาสั้น กับเสื้อลายกาตูนเพื่อให้ผมเด็กอยู่เสมอ และเมื่อเข้ามาเรียนสิ่งที่เราอยากเป็นกลับไม่ทำให้เรามีความสุข เพราะมันเรื่องไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ
ผมได้ลองทำกิจกรรมอยู่บ้างงงงง ในคณะ ซึ่งก็ได้ลองทำอะไรที่เราอยากทำ มันค่อย ๆ ทำให้ผมรู้ว่าอะไรที่อยากทำ ชีวิตปีหนึ่งยังไม่แล้วร้ายพอที่ทำให้เห็นชัดว่าชีวิตผมกำลังจะเปลี่ยนไป ชีวิตหลังการเข้าภาคต่างหากที่นำให้ผมโตขึ้นมาก การได้เรียนรู้ความสุข ความเศร้า ความผิดหวัง และความเกินคาดหวังต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่าชีวิตมีหลากด้านจริง ๆ และมันก็ไม่ไ้ดต่างไปจากละคร แค่ตอนจบยังมาไม่ถึง ผมได้เรียนรู้ชีวิตแบบเด็กทุนไปพร้อมทั้งการสูญเสียชีวิตแบบนั้น การผูกมัดและอิสระภาพ ได้รู้จักคำว่าสอบตกที่แท้จริงในขณะที่มีคนนับพันพร้อมปรบมือให้กับการแสดงของเรา การพยายามท่องทำจำราที่ต่างไปจากการท่องผมเป็หน้า ๆ และพูดมันออกมาอย่างปราณีต สิ่งเหล่านี้้ำทำให้ผมรู้ว่าที่อยากทำนั้นคืออะไร ผมได้รู้จักละครเวทีก็ตอนเข้ามาอยู่ที่พญาไท ได้ดูมันจริง ๆ และเริ่มเข้าไปใกล้มันมากขึ้น จนตอนนี้มันกลายเป็นชีวิตของผมไปแล้ว
โดยส่วนตัวผมเอง มองว่าก็ไม่ได้หน้าชื่นชมมากนัก สำหรับคนที่เรียนวิทยาศาสตร์และน่าจะพยายามหรือตั้งใจเรียนสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีเสียก่อน แทนที่จะไปทำอะไรที่อยากทำ แต่ละครหลาย ๆ เรื่องก็ต่างมีบทเรียนไม่ซ้ำซากให้ผมเข้าใจเช่นกันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นว่าอะไรสวยเหมือนกันหมด และเพราะเรามีเพียงวันนี้ ผมไม่เลือกรอให้ได้ทำ แต่ผมเลือกที่จะทำมัน ในเมื่อผมเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ผมชอบละครเวที ไม่ว่าจะชอบดูหรือชอบเล่น ผมจึงเลือกที่จะทำละครเวทีดูสักเรื่อง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ความยากมันแตกต่างไปจากโครงงานหรือโปรเจ็คเรื่อง การวาวแสงของยูวี แต่มันต้องใช้ทรัพยากรย์มนุษย์ที่มีคุณภาพจำนวนมหาศาลในการรังสรรค์งานศิลปะชิ้นนี้ขึ้นมา นอกจากศิลปินยังต้องมีชั่งเทคนิคและอื่น ๆ ซึ่งผมไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ตอนงานยาก ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเพราะทรัพยากรที่ใช้นั้นคือมนุษย์ที่มีจิตใจและบอบบาง และยิ่งยากเมื่อคนเหล่านั้นคือเพื่อนที่รู้จักและเราร้องขอให้มาช่วยโดยที่ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ แม่บอกเสมอว่าทำงานกับคนนั้นยาก ต้องทำอย่างรอบคอบ จะกระทบกระทั่งอะไรก็จะมีผลไปหมด แต่จะปล่อยปละละเลยก็ทำให้เสียงาน งานนี้ผมเลยได้เป็นเหมือนเจ้าของคณะละครเล็ก ๆ ที่จะทำการแสดงละครที่ตัวเองเขียนบทเพลง กำกับเองรวมทั้งร่วมประพันธ์บทเพลง แถมยังมีคนในปกครองซึ่งล้วนแต่เป็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ มาช่วยกันกว่าสามสิบชีวิต ผ่านกรล้มหายตายจากมาอย่างโชกโชน แต่เชื่อได้ว่ามันจำทำให้เราทุกคนได้โตขึ้นและเข้าใจการทำงาน แม้ละครเรื่องนี้จะไม่ได้ช่วยให้โลกสูงขึ้น แต่ก็ทำให้ในคนทำได้สูงขึ้นพร้อมจะดึงคนดูให้ร่วมเสพมหรสพนี้อย่างมีความสุข


จะมีอะไรดีไปกว่าได้ทำอะไรที่อยากทำ เพราะเรามีเพียงวันนี้...

แนะ-นำ-ตัว


เช้าวันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2531

เด็กตัวน้อยๆนามว่า ด.ช.ภควัต ทองเจริญ ชื่อเล่น โบ๊ท ก็ได้ลืมตาดูโลกหลังจากนอนคุดคู้อยู่ในท้องแม่มานานเก้าเดือน ด้วยน้ำหนักตัวที่มากและหัวที่โต (กว่าเชิงกรานของแม่) ทำให้แพทย์ ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ ตัดสินใจทำคลอดด้วยการผ่าตัด


-ด.ช.ภควัต ทองเจริญ-

ใช้ชีวิตอยู่ ณ บ้านย่านฝั่งธนที่คุณปู่ หรือ ที่หลานทุกคนเรียกว่า "ก๋ง" ร่วมกับ พ่อ แม่ น้องสาว ก๋ง ย่า น้า อา รวมถึงลูกพี่(ที่เกิดก่อน)ลูกน้อง(ที่เกิดที่หลัง) รวมกันกว่า 10 คน

ผมจำวันเกิดของก๋งไม่ได้ แต่ทราบว่าก๋งเป็นคนจีนโดยกำเนิด อพยพมาอยู่ที่ไทยตั้งแต่อายุน้อย จำไม่ได้ว่าชีวิตวัยเด็กของก๋งเป็นอย่างไร ทั้งที่ก๋งมักจะเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ฟังอยู่เสมอ ก๋งทำฟาร์มวัวนมอยู่ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี แต่ก็กลับบ้านมาให้เจอหน้าบ่อยๆ ก๋งเป็นคนใจดีพูดน้อยแต่มีสายตาที่ดูเศร้าและมีริ้วรอยที่เกิดจากการผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างหนักหนา ก๋งเคยเล่าว่าก่อนหน้าที่ผมจะเกิด ก๋งเคยทำโรงเลื่อยติดแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องเดินทางไม่ตามจังหวัดต่างๆ ครั้งละหลายๆวันเพื่อเข้าป่าไปหาต้นไม้มาเข้าโรงเลื่อย แต่ผมก็ไม่เคยถามว่าทำไมปู่ถึงเลิกทำโรงเลื่อย แล้วหันมาทำฟาร์มวัวนม

ทุกวันหลังจากที่ผมกลับจากโรงเรียนอนุบาลเธียรประสิทธิ์ศาสตร์ คนแรกที่ผมแรกหาคือ "โต้" โต้เป็นชื่อที่ทุกคนใช้เรียกย่าของผม ขอย้ำว่าทุกคน ชื่อ "โต้" นี้สามารถเรียกได้โดยไม่มีคำนำหน้า แต่บางครั้งหลานๆก็แรก โต้ ว่า ยายโต้ ด้วยความสงสัย ผมจึงถาม

"ทำไมทุกคนถึงเรียกโต้ว่าโต้ล่ะ"

"อ๋อ โต้ แปลว่าพี่สะใภ้"

"??????????"

"เมื่อก่อนมีคน(บางคนที่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรแต่คาดว่าคงเป็นน้องของก๋ง)เรียกชื่อนี้ ทุกคนก็เลยติดปากเรียกชื่อนี้กันทุกคน"

ผมไม่ได้ถามต่อ ว่าชื่อนี้เป็นที่ติดปากขนานหลานอย่างผมยังเรียกย่าว่า "พี่สะใภ้" ได้อย่างไร แต่ผมรู้ว่า ทุกครั้งที่ผมกลับจากโรงเรยนอนุบาลคนแรกที่ผมเจอคือโต้ และทุกคืนที่พ่อและแม่กลับช้าโต้และก๋งก็จะพาผมเข้านอน

หลังจากใช้ชีวิตที่บ้านหลังใหญ่ได้ 7 ปี ผม แม่ พ่อ และน้องสาว ก็ย้ายไปอยู่ในทาว์นเฮาส์ ย่านอ่อนนุช เรียกได้ว่าย้ายไปอยู่คนละฝั่งของกรุงเทพเลยก็ว่าได้ และในปีนั้นก็เป็นปีแรกที่ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนแอ๊ดเวนตีสเอกมัยและใช้ชีวิตวัยประถมอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหกปี

ผมจำไม่ได้ว่าพ่อย้ายออกจากบ้านไปเมื่อไหร่ อาจจะตอนผม 8 ขวบ หรือ 9 ขวบ ผมไม่แน่ใจ แต่ผมจำได้ว่าผมร้องไห้อยู่หลายคืนเมื่อรู้ว่าพ่อจะไม่กลับมาอยู่กับแม่แล้ว และก็หวังทุกๆคืนว่าตอนเช้าพ่อจะกลับบ้าน--แต่เมื่อตื่นมาก็มีแต่แม่และน้องสาว เกือบทุกเสาร์อาทิตย์หลังจากนั้น"ป้าปุ๋ย" พี่สาวของพ่อ จะมารับผมและน้องไปอยู่ที่บ้านฝั่งธน ซึ่งเป็นทางเดียวที่ผมได้เจอพ่อกับพ่อ

ตั้งแต่เด็กๆ ผมจำได้ว่าไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อเท่าไหร่ เพราะพ่อกลับดึก แต่เมื่อมีเวลาว่าง พ่อมักจะพาผมกับน้องไปเที่ยวเสมอๆ เรียกได้ว่าเป็นเด็กเที่ยวจริงๆ ไม่ว่าจะขึ้นยอดดอย ดำน้ำ นอนเขื่อน เที่ยวน้ำตก ขี่ม้า หรือขับรถ พ่อจับผมและน้องให้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมดแล้ว ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมได้เที่ยวแบบมี พ่อ แม่ น้องสาว และผม ครบทั้งสี่คนคือตอนผมอายุ 8 ขวบ ครั้งนั้นผมและครอบครัวไปเที่ยวเกาะเต่า และจำได้ว่ามันสนุกและมีความสุขมากขนาดไหน พ่อเคยเล่าเรื่องก๋งให้ฟัง ว่าก่อนที่ก๋งจะมาทำฟาร์ม เรือขนไม้ซุงจากชุมพรมากรุงเทพอัปปางเพราะชนกับหินโสโครก และเรือลำนั้นยังไม่ได้ต่อประกัน ทำให้ต้องสุญเสียเงินทันทีหลายร้อยล้านบาท จำต้องขายเรือลากซุงและโรงเลื่อยที่เหลือเพื่อใช้หนี้ และกลายเป็นคนล้มละลาย หลังจากนั้นก๋งก็เลยไปทำฟาร์ม...


เมื่อใช้ชีวิตวัยประถมจนครบ 6 ปี ก็ถึงวัยที่จะต้องเติบโตขึ้นอีกครั้ง โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) โรงเรียนเก่าของคุณแม่ เป็นที่หมายต่อไปของผม ผมเข้าโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่พิเศษนี้ได้ด้วยการจับฉลาก เพราะก่อนหน้าจะเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ชั้นมัธยม ผม แม่ และน้อง ก็ได้เปลี่ยนบ้านอีกครั้ง คราวนี้ย้ายมาอยู่ที่ลาดพร้าวซอย 126 บริเวณท้ายซอยติดกับคลองแสบแสบ ซึ่งถือเป็นซอยเกือบสุดท้ายที่อยู่ในเขตมีสิทธิ์จักฉลากเข้าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) และโชคก็เป็นของผม

ผมเข้าเรียนชั้น ม.1 ห้อง 5 (จาก 10 กว่าห้อง) ซึ่งถือเป็นห้องที่ไม่ดีนักในมุมมองของแม่เมื่อเทียบกับคนที่จบมาได้อันดับสองของระดับชั้นในชั้นประถม แม่จึงสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้

ชีวิตเกือบทั้งชีวิตของผมอยู่กับแม่ แม่เป็นคนโคราชโดยกำเนิด อากง และ อาม่า ต่างก็เป็นคนจีนซึ่งอพยพมาอยู่ไทยทั้งสิ้น แม่ย้ายไปอยู่กรุงเทพหลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์)-โรงเรียนเดียวกับผม จึงถือได้ว่าแม่ของผมเป็นรุ่นพี่ผม(25ปี) หลังจากนั้นก็เรียนต่อที่คณะบัญชี จุฬาฯ ซึ่งเป็นที่ที่แม่ได้พบกับพ่อ หลังจากแม่เรียนจบ ก็แต่งงานกับพ่อทันที และหลังจากนั้น 2 ปี แม่ก็มีผม แม่กับผมเสมอๆว่า แม่เลี้ยงผมไม่เหมือนกันที่่คนอื่นเลี้ง แม่เป็นคนที่อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย แต่โมโหยาก แต่ก็มีเหตุผล รับฟังทุกคำพูดของลูก (ที่ดูสมเหตุสมผล) แม่ไม่เคยเคี่ยวเข็ญให้เรียนหรือทำอะไรก็ตาม แต่แม่จะให้วิธีสร้างบรรยากาศให้โน้นน้าวไปให้ทางที่แม่ต้องการ แม่ไม่เคยตี แต่จะพูดด้วยเหตุผลเสมอๆ

เมื่อขึ้นม.2 ก็มีการจัดห้องเรียนอีกครั้ง คราวนี้ผมได้อยู่ ห้อง 1 ซึ่งเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเรยีน (อันเป็นผลมาจากการสร้างแรงจูงใจของแม่) และได้พบว่า ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ เก่งมาก ถึงมากที่สุด บรรยากาศในการเรียนก็เปลี่ยนไปมาก เพราะทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง เรียนเป็นเรียน เล่นก็เป็นเล่น กิจกรรมก็ทำ กลายเป็นตัวเองดูไร้ความรู้ไปในทันที

เมื่อขึ้นม.3 ผมยังได้อยู่ห้อง 1 เหมือนเดิม และเพื่อนๆก็ยังเหมือนเดิม ถึงแม้จะมีการจัดห้องใหม่ ทุกคนดูตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะทุกคนต่างหวังที่จะเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (และก็มีคนได้ไปต่ออย่างที่ใจหวังเกินครึ่งห้อง) แต่ชั้นสุดท้ายของระดับม.ต้นก็ถือเป็นปีที่สนุกที่สุดปีนึงเหมือนกัน เพราะทุกคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นการเรียนด้วยกันมานาน ก่อนที่ความทรงจำดีๆจะจบไป เพื่อเดินก้าวต่อไปอีกขั้นในการเป็นผู้ใหญ่


-นายภควัต ทองเจริญ-

วันแรกที่ผมใช้คำนำหน้าชื่อ "นาย" ผมรู้สึกว่าตัวเองแก่

ผมตัดสินใจไม่สมัครสอบเตรียมอุดมศึกษาตามเพื่อนๆด้วยความหยิ่งของตัวเอง ทำให้หลังจากจบมัธยมต้น ผมมีเพื่อนที่จะไปต่อในช้นมัธยมปลายไม่มากนัก ผมยังคงเรียนต่อที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) และมีจุดเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ๋รอผมอยู่ในอนาคตอันใกล้


ค่ำวันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2547

ผมอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองพร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่อีกหนึ่งใบ ผู้ร่วมเดินทางมากันพร้อมหน้า ผมตรวจสอบตั๋วเครื่องบินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนบอกลา พ่อ แม่ น้อง และ ก๋ง ที่ตามมาส่ง และเดินผ่านเข้าไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมเคยเดินผ่านประตูนี้หลายครั้งซึ่งมีจุดหมายปลายทางและระยะเวลาการเดินทางต่างๆกัน ทำให้ไม่รู้สึกตื่นเต้นมากนักที่จะต้องเดินผ่านด่าน แต่ที่ผมตื่นเต้นคืออีกหนึ่งปีข้างหน้าที่รอผมอยู่ต่างหาก

เครื่องบินทะยานขึ้นท้องฟ้าอันมืดมิด ก่อนหันหัวเครื่องบินไปทางทิศตะวันตก ผมไม่ได้นั่งที่นั่งริมหน้าต่างแต่สังเกตเห็นได้ถึงสีดำสนิทของท้องฟ้าภายนอกตัดกับแสงสว่างไสวยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร รับรู้ได้ว่ามนุษย์เรานี้เปราะบางเพียงใดในโลกสีฟ้าเล็กๆที่กว้างใหญ่ใบนี้ ผมไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้สึกกลัว

แสงแดดสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างเครื่องบินเมื่อแอร์โฮสแตสบอกให้ผู้โดยสารเปิดหน้าต่างขึ้นเพื่อเตรียมลงจอด เวลาล่วงเลยผ่านไป 10 ชั่วโมง กับระยะทางกว่า 10,000 กิโลเมตรจากกรุงเทพมหานคร ผมพยายามมองเมืองหลวงของออสเตรียเบื้องล่าง แล้วเครื่องบินก็ลงจอดที่เวียนนาโดยสวัสดิภาพ แต่การเดินทางของผมยังไม่สิ้นสุด ผมกับเพื่อนอีก 9 คน แยกตัวจากเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางด้วยกันมา เพราะมีที่หมายที่ต่างกัน คนอื่นๆมุ่งหน้าไป เมืองอัมเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ ส่วนผมและเพื่อน มุ่งหน้าไป เมืองปราก ประเทศสาธารณรัฐเชก รอเครื่องบินอีกกว่า 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องบินเล็กที่จะพาผมไปยังไข่มุกแห่งยุโรปตะวันออกจะพร้อมออกเดินทาง

เพียง 1 ชั่วโมงจากเวียนนา เครื่องบินก็ลงจอดที่ปราก พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ผมและเพื่อนเดินออกผ่านประตูขาเข้า ก่อนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ครอบครัวอุปถัมป์ของผมมารออยู่แล้ว การเดินทางอันยาวไกลสิ้นสุดลงพร้อมกับการเริ่มต้นของการพจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต...

การอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคยที่ใช้ภาษาที่ไม่คุ้นเคย ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย กับประเทศที่ไม่คุ้นเคย ที่มีวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย และอีกหลายๆอย่างที่ไม่คุ้นเคย เป็นประสบการณ์ที่สร้างความอึดอัดได้มากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางคนมากมาย อึดอัดจนอยากร้องไห้ ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้จะสื่อสารกับใคร ไม่รู้จะคิดอะไร สิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่นี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Culture Shock” และมันก็ shock จริงๆ

ก่อนการเดินทางมีเพื่อน และคนอื่นๆถามว่า

“ประเทศเชกอยู่ไหน?.”

“อ๋อ อยู่ยุโรปกลาง ติดกับ เยอรมัน โปแลนด์ ออสเตรีย แล้วก็ฮังการี”

“แล้วยุโรปกลางอยู่ตรงไหน?”

“ก็อยู่ทางตะวันออกของเยอรมัน”

“แล้วเยอรมันอยู่ไหน?”

“.....”

“แล้วเค้าพูดภาษาอะไรกันล่ะ?”

“ภาษาเชก”

“!!##!! ภาษาเชกเป็นยังไงล่ะ?”

“ก็คล้ายๆภาษารัสเซีย”

“แล้วภาษารัสเซียเป็นยังไงล่ะ?”

“.....”

ผมพบว่าคนส่วนมากยังไม่ค่อยใส่ใจกับภูมิศาสตร์และภาษาศาสตร์เท่าที่ควร นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งประหว่างประเทศในปัจจะบัน นี่ยังไม่นับรวมถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม

เนื่องจากผมเดินทางไปใช้ชีวิตในประเทศแปลกๆประเทศเล็กๆใจกลางยุโรป เชื่อว่าคงมีคนคาดหวังว่าผมจะได้อะไรแปลกๆกลับมาไม่มากก็น้อย

*เนื่องจากเนื้อหาส่วนนี้มีความยาวมาก และรายละเอียดเยอะจึงขอละไว้ในที่นี้*


หนึ่งปีผ่านไป หลังจากกลับมาถึงไทยทำให้ผมมีมุมมองต่างจากเดิมมาก และรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หลังจากต้องเจอกับเรื่องต่างๆมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เจอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

ผมได้อ่านหนังสือหลายเล่มที่ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง หนึ่งในหนังสือหลายเล่มนั้นก็คือ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” โดย วินทร์ เลียววาริณ และหนังสือเล่มอื่นๆของเค้า ทำให้ผมได้มีเวลาคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆในอนาคต ว่าผมต้องการอะไรกันแน่

เวลาล่วงเลยมาถึงชั้นสุดท้ายของมัธยมศึกษาตอนปลาย ถึงเวลาที่เพื่อนใหม่เมื่อสามปีก่อน จะกลายเป็นเพื่อนเก่า หลังจากที่จะต้องแยกย้ายไปตามทางเดินของตัวเอง ผมสอบตรงเข้าคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพ่อ และญาติๆ ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องเป็นนักฟิสิกส์ให้จงได้ และจะทำให้วงการวิทยาศาสตร์ไทยพัฒนาไปมากกว่านี้ หนึ่งปีที่ใช้ชีวิตในศาลายาช่่างมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเป็นไปตามที่คาดหวัง มีกิจกรรม มีเพื่อน มีแฟน มีผลการเรียนที่ดี แต่มีขึ้นก็ย่อมมีลง

เมื่อภาคเรียนแรกของชั้นปีที่สองเริ่มขึ้น ผมรู้สึกเหมือนคนหลงทาง สิ่งที่เคยชอบและทำได้ดีที่สุด กลายเป็นสิ่งที่ชอบแต่ทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดี ผมเข้าใจดีว่าผลการเรียนเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้แสดงความสามารถเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และไม่เคยเชื่อในเรื่องระบบเกรด แต่การตั้งใจทำอะไรที่รักแล้วผลออกมาไม่ดี ทั้งที่ก่อนหน้าเคยทำได้ดีมาก มันก็ทำให้กำลังใจหายไปได้เยอะเหมือนกัน

เข้าสู่ปีสาม เริ่มคิดมากเกี่ยวกับอนาคตอีกครั้ง เริ่มสงสัยในทางเดินที่ตัวเองเลือก และคิดถึงคำเตือนของพ่อ และญาติๆ ทำให้รู้สึกว่าทุกสิ่งที่อย่างมันเป็นความผิดพลาด แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้อะไรไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำก็คือการเลือกทางเดินในปัจจุบันและอนาคต ปัจจุบัน รู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และคิดไม่ออก บางครั้งก็รู้สึกเศร้าโดยไม่มีเหตุผล เหมือนกับว่าความสุขที่เคยมีมันหายไป หัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ เพื่อนก็เริ่มลดน้อยลง รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เพียงแต่ครั้งนี้ผมอยู่กับคน ภาษาและสถานที่ที่รู้จัก และคุ้นเคยดี


เช้าวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผมรู้สึกว่า การค้นหาจุดหมายเป็นสิ่งที่ยากกว่าการเดินตามจุดหมายมาก เพราะอย่างน้อยเมื่อรู้ทิศเราก็ไม่หลงทาง

ไม่รู้ว่าหนทางในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ที่ทำได้ก็คงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดจนกว่าจะหาจุดหมายของตัวเองเจอ

แนะนำสิ่งมีชีวิตในไฟลัมมอลลัสกา

สวัสดีค่ะ ชื่อเอมนะคะ :)

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงแนะนำตัว ขอคั่นโฆษณาด้วยการแนะนำสมาชิกในภาพก่อนนะคะ คนซ้ายมือนี่คือเอมเองค่ะ ทางขวามือเป็นคุณแม่ค่ะ

ซึ่งมีชื่อเรียกในหลากหลายรูปแบบมาก สำหรับลูกๆ ขึ้นกับบุคลิกของคุณแม่ และอารมณ์ของคุณลูกในเวลานั้นๆ ตั้งแต่เป็นคุณนายแม่ ทั่นแม่ จนถึงชื่อที่มีความภูมิใจนำเสนออย่างยิ่งคือ "มะมี๊" ซึ่งมีที่มาจากมะมี๊โป๊ะโกะ ในโฆษณาผ้าอ้อมเด็กนั่นเอง (อย่าเพิ่งขำนะ เพราะคนเขียนกำลังขำอยู่) ซึ่งเราเห็นว่าน่ารักดี เราจึงนำมาใช้ และได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในหมู่คุณลูกค้า (ลูกๆ) แต่ด้วยความที่เรียก มะมี๊โป๊ะโกะมันยาว ในช่วงหลังจึงมีการเรียกให้สั้นลงเหลือแค่มะมี๊ อิอิ :)

อ้าวเอาแม่มาเผากันซะงั้น
ตัดเข้าสู่รายการหลัก (แนะนำตัว) กันดีกว่านะคะคุณผู้ชม :)

ชื่ออย่างเป็นทางการ คือ ภาณุมาศ จีรภัทร์ ซึ่งมีที่มาจาก ก่อนจะเกิด (ไม่ทราบช่วงเวลาที่แน่ชัด ทราบเพียงว่าแม่ยังไม่รู้ว่าท้อง) แม่ฝันว่ากำลังดำน้ำอยู่ในทะเล แล้วเห็นไข่มุกสีชมพู ที่มีแสงสว่างจ้า อยู่ด้านล่าง แล้วแม่ก็ไปเก็บไข่มุกนี้มา เลยตั้งชื่อว่า ภาณุมาศ ซึ่งแปลว่า พระอาทิตย์/แสงสว่าง ที่มาดูอลังการมากสำหรับเรา เหอะๆ แต่โตมาก็เป็นเยี่ยงนี้น่ะค่ะ :D

ออใช่มีอีกอย่างนึงที่ impress มากสำหรับชื่อนี้คือ โดยมากคนที่ใช้ชื่อนี้มักจะเป็นผู้ชายค่ะ (ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก็มันเป็นชื่อของเรานิ ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นชื่อสำหรับผู้หญิงมาตลอด ก็ภาณุมาศ เหมือนชื่อผู้หญิงจะตายไปเนอะ เพิ่งมารู้เอาตอนหลังนี่แหละว่าคนทั่วไปเขาเข้าใจอีกอย่าง :)) ตอนเด็กๆ อยู่ประถมก็มีเพื่อนผู้ชายที่อยู่ห้องเดียวกัน ชื่อเดียวกับเราเลย โตมาพอเขียนชื่อนี้โดยไม่ใส่คำนำหน้าชื่อ คนก็จะคิดว่าเป็นผู้ชาย ล่าสุดไปงานและจะมีพิธีการตั้งชื่อให้ใหม่ ก็กรอกเอกสารโดยใส่ชื่อไป โดยไม่ได้เขียนคำนำหน้าชื่อ แต่ระบุเพศว่าไปว่าเป็นผู้หญิง แต่สงสัยคนตั้งชื่อจะไม่ทันได้สังเกต ก็เลยได้ชื่อที่เป็นชื่อสำหรับผู้ชายมาอีกค่ะ แนวดีๆ :)

มีกรุงเทพเป็นบ้านเกิด แต่อยู่แถบๆ ชานเมืองเลยได้มีสนามเด็กเล่นเป็นดงหญ้ารกๆ ข้างบ้านและนอกจากน้อง ๒ คนก็มีเพื่อนเล่นเป็นต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยในนั้น ทำให้รู้สึกผูกพันกับธรรมชาติอยู่ไม่น้อย

เป็นลูกสาวคนโตของที่บ้าน มีน้องชาย ๒ คน
ด้วยความที่เป็ลูกสาวคนแรกของที่บ้าน แม่เลยตั้งชื่อเล่นว่าเอม ที่แปลว่าผู้เป็นที่รักน่ะค่ะ
ส่วนน้องอีก ๒ คนชื่อ โอมกับอิ่ม แม่ตั้งให้เช่นเดียวกัน ต่างกันที่สระเท่านั้นเอง

รู้สึกประทับใจกับชื่อที่แม่ตั้งให้กับลูกๆ แต่ละคนมาก เวลาที่แม่เล่าที่มาของชื่อลูกๆ ให้ฟัง
เห็นความคาดหวัง ความรักและความตั้งใจของแม่อยู่ในนั้น

แม่ของเอมเป็นคนที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆ มาก ซึ่งจะว่าไปก็แตกต่างไปจากเอมมากๆ ความฝันอย่างนึงที่คิดไว้ว่าอยากจะทำให้ได้นอกเหนือจากการได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ อยู่ที่ต่างจังหวัด และได้สอนหนังสือเด็กๆ ก็คือการดูแลตัวเองให้มีวินัยเพื่อที่จะสามารถดูแลแม่และคนในบ้านได้

แต่เรื่องนี้ก็ยากไม่ใช่ย่อยเลย เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกแย่มากๆ เวลาที่ตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างแล้วก็มักจะผลัดวันประกันพรุ่ง จนพักหลังๆ นี่แค่จะคิดว่าจะทำก็กลัวซะแล้ว

ถ้าจะเปรียบเทียบเหมือนเล่นเกมส์ ที่มีการเก็บ item ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ก็เหมือนได้ item ใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะตั้งสัจจะและทำได้มาก่อนเลยนะ แต่เข้าพรรษานี้ได้ลองดู ต้องขอบคุณแรงบันดาลใจจากปาร์ตี้ NREMs (เป็นปาร์ตี้รวมของสมาชิกที่เคยเรียนวิชาเลือกของอ.เอเชีย) นี่แหละ
คือการไม่กินข้าวเย็น เพราะเป็นเรื่องที่ดูจะง่ายที่สุดแล้วสำหรับตัวเอง
แม้จะเป็นที่รู้กันของคนที่รู้จักว่า เป็นคนที่กินเก่งมาก และการกินก็เป็นเรื่องที่ enjoy มากๆ

แต่ผ่านมาครบ ๑ พรรษาแล้วก็ดีใจมากเลยที่ทำได้ มันทำให้รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะพาตัวเองไปลองทำอะไรที่เคยคิดว่าจะทำไม่ได้ มากขึ้น และก็สนุกกับตอนที่ทำด้วย

แนะนำตัวประมาณนี้ก่อนค่ะ ไว้ทำความรู้จักกันเพิ่มเติมในคลาสนะคะ :)

ออใช่ยังไม่ได้บอกว่าเป็น "แนะนำสิ่งมีชีวิตในไฟลัมมอลลัสกา" ยังไง

ก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นวิชาการเลย นอกจากว่า เป็นคนที่ชอบหอยทากมากๆ และก็รู้สึกว่าบุคลิกของตัวเองเหมือนหอยทากมากๆ เลย ที่มักเป็นคนช้าๆ ทั้งทำอะไรช้า เข้าใจอะไรก็ช้า มีความงงๆ เป็นส่วนใหญ่ของชีวิต มักจะชอบเก็บเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคิดมาก เหมือนแบกอะไรซักอย่างหนักๆ ไปด้วยตลอดเวลา อะไรทำนองนี้ อาจจะดูเหมือนมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ชอบมากๆ เลยนะ ทั้งน้องหอยทากและก็ตัวเองที่เป็นแบบนี้ อาจไม่ง่ายเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ได้มีการเดินทางที่สนุกๆ เเบบนี้ไง :D

Sunday, November 14, 2010

พีเจ



สวัสดีค่ะ เพ็ญค่ะ
ชื่อ-นามสกุล เพ็ญจุรี วีระธนาบุตร

ตรงนามสกุล "ธนาบุตร" เป็นชื่อกิจการที่พ่อเป็นเจ้าของขายสติ๊กเกอร์และฟิล์มหลากหลายรูปแบบ รับทำโฟโต้บุ๊คคุณภาพดีมีมาตรฐาน ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในสำนักงานเช่น เครื่องรูดบัตร เป็นต้น ใครสนใจกำลังหาซื้อหรือต้องการอุปกรณ์ที่อยู่ในข่ายนี้ สามารถแวะไปได้ที่ บริษัท ธนาบุตร จำกัด อยู่ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ ลงรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ถึงเลย นอกนั้นกร้อ... เป็นคนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตตามแบบอย่างที่กระแสสังคมบอกว่าควรจะเป็น พื้นฐานดี ครอบครัวดี ทุกอย่างดีพร้อม ไม่มีปัญหาอะไร (อย่าเพิ่งหาว)

ชีวิตเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษา ๒๕๓๐ หรือ 1987 ตอนหลังเพิ่งรู้ว่า วันเดียวกันในปี 1912 เป็นวันที่เรือเดินสมุทรไททานิค (Titanic) กระแทกภูเขาน้ำแข็ง และจมลงสู่พื้นมหาสมุทรแอตแลนติกในเช้าตรู่วันถัดมา และถอยไปอีก ในวันเดียวกันปี 1985 เป็นวันที่อับราฮัม ลินคอร์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ ของสหรัฐอเมริกา ถูกคนร้ายยิงที่โรงละครแห่งหนึ่งใน Washington D.C. และจบชีวิตอย่างสงบลงในเช้าวันต่อมา

สถานศึกษาแรกคือ โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านสุขุมวิทชื่อ "วัฒนาวิทยาลัย" (ถ้าใครนึกไม่ออก ก็นึกถึงเด็กกระโปรงแดงที่มักปรากฎตัวเป็นกลุ่มๆ แถวสยามสแควร์) ๖ ปีสุดท้ายในโรงเรียนต้องอยู่แบบประจำ เรื่องแรกที่เรียนรู้ตอนอยู่ประจำคือ ใครหาเพื่อนสนิทได้เร็วก็รอดตัว ใครหาเพื่อนได้ช้าก็ต้องสู้กับชะตากรรมที่เหลือในโรงเรียนต่อไป แม้จะเข้ากับเพื่อนได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ชีวิตในโรงเรียนประจำก็ไม่ได้จืดชืดเสียทีเดียวเพราะลมหายใจอยู่ที่วงโยธวาทิต มีเพื่ิอนๆ น้องๆ ในวง มีเครื่องดนตรีคู่ใจคือ clarinet แต่ก็ไม่ได้เล่นอีกตั้งแต่เรียนจบเพราะเครื่องที่ใช้ในวงเป็นสมบัติของโรงเรียน แต่ตอนนี้ก็ยังคงคิดถึงเครื่องดำๆ ยาวๆ เครื่องนั้นอยู่บ่อยๆ หวังว่าสักวันจะได้เล่นกับมันอีกครั้ง

หนึ่งในความตั้งใจตอนนี้ก็ อยากจะดูแลคนในครอบครัว ดูแลพ่อแม่ให้เป็น แม้ว่าตอนนี้จะยังทำไม่ค่อยได้ดีนัก ทุลักทุเลพอสมควร ก็ยังดีที่มีความหวังอยู่ข้างใน แต่จะมีอุปสรรคกับตัวเองที่บางทีหน้าตาภายนอกมักจะไปทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ บางครั้งยังรู้สึกเลยว่าทำไมเราโชคร้ายที่เกิดมาหน้าออกแนวบึ้งๆ ไรงี้ หรือบางทีก็มองโลกในแง่ไม่ค่อยดีโดยไม่รู้ตัว ก็จะพยายามต่อไป... คือจริงๆ ก็กลัวนะว่าพอบอกอะไรแบบนี้ไปแล้วคนก็จะมาบอกว่า "อ้าว...ไหนว่าอยากให้มีความสุขแต่ดูตัวเองสิ ทำไมดูทุกข์กว่าชาวบ้านอีก ดูไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยพูด" และก็ห้ามไม่ได้เลยอ่ะถ้าจะมองแบบนี้ ยังไงลึกที่สุดแล้ว ถึงหน้าไม่ให้ แ่ต่มันก็เป็นความตั้งใจหนึ่งนะ :)

ส่วนหนึ่งในความสามารถพิเศษคือ การอำพรางตัว จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่น้องบางคนอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนว่าเราเคยใช้ชีวิตอยู่ที่คณะวิทย์ด้วยเหรอ?? หรือบางคนอาจจะเคยเห็นโผล่ๆ อยู่ตามเสาหรือมุมตึกบ้าง (เอ่อคือ) พอเห็นอีกทีก็มานั่งอยู่กับพี่ฮัลเล่ย์พี่นุ้กพี่นิวในคลาสนี้แล้ว ก็กำลังจะบอกอยู่นี่แหล่ะว่าพี่เองก็ตกใจเหมือนกัน อืมจริง คือชีวิตตอนโน้นก็ไม่เคยคิดว่าจะมาทำอะไรแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ อืม... แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และที่เป็นแบบนี้มันก็มีที่มาที่ไปจากคลาสที่น้องกำลังเรียนอยู่นี่แหล่ะ :)


กร้อ...ประมาณนี้ละกัน
ยินดีที่ได้รู้จักนะตัวเอง :)