Saturday, December 4, 2010

a.story

เคยมีคำถามกันในหมู่อาจารย์ร่วมคลาสว่า "เราต้องแนะนำตัวด้วยไหม?" และมีคำตอบกันว่า "ไม่จำเป็นต้อง แต่ถ้ามีก็จะดีมาก" จึงหวังว่าการออกตัวของผมครั้งนี้จะเหนี่ยวนำให้อาจารย์ท่านอื่นร่วมวงสนทนาว่าด้วยการแนะนำตัวเป็นลำดับต่อมา

อาจารย์เอเชียเคยถามผมว่า "อยากให้นศ.ในคลาสเรียกว่า อาจารย์หนุ่ม หรือพี่หนุ่ม?"
"เรียกว่าพี่หนุ่ม มั้ง" เพราะสรรพนามนำหน้าว่าอาจารย์มักถูกคนในวัยใกล้กันหรือสูงกว่ามาเรียกเสมอ นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีสถานภาพเป็นอาจารย์ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหิดลเสียด้วย



ตามธรรมเนียมนิยมครับ ขอเล่าเรื่องประวัติการศึกษา ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ปริญญามา 2 ใบ ใบแรกคือสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาบัณฑิต นับว่าเป็นผลงานทางการศึกษาในชีวิตที่ได้มาแบบไม่เหนื่อยยากมากนัก เพราะเลือกคณะที่ไม่ต้องแข่งขันมาก เมื่อยุคสมัยที่สังคมไทยยังใช้การสอบทั้งประเทศโดยให้นักเรียนเลือกคณะได้ 6 อันดับ ผมก็เลือกแค่ 3 เหตุเพราะไม่ค่อยมีคณะไหนที่ 1)ไม่ต้องสอบวิชาชีววิทยา 2)น่าสนใจ และ 3)คะแนนต่ำพอจะให้เลือกเผื่อไว้ในอันดับที่ 4-6 ได้ ด้วยเหตุนี้จึงประหยัดค่าสมัครสอบไปได้มาก สอบแค่ 5 วิชา 3 อันดับ กับเงินค่าสมัครที่ยืมคุณแม่ของเพื่อนไปจ่าย จนบัดนี้ก็เข้าใจว่าผมยังไม่มีโอกาสได้ใช้คืน

ส่วนอีกใบคือพัฒนาแรงงานและสวัสดิการมหาบัณฑิต แต่ขอแนะนำตัวไฮไลท์ในช่วง 4 ปีของใบแรกครับ

ช่วงเวลาที่ใช้ไปสำหรับได้ปริญญาตรีก็นับว่าคุ้ม ผมเลือกที่นี่เพราะอยากจะห่างจากฟิสิกส์ ชีววิทยา และมหาวิทยาลัยขอนแก่น แม้ว่าจะมีโควตาและสัมพันธ์ทางใจในฐานะนักเรียนโรงเรียนสาธิตฯ มา 2 ปีก็ตาม เมื่อมาอยู่แหล่งศึกษาร่มเย็นเด่นริมสายชล (ดังเนื้อเพลง..) ก็ไม่เคยรู้ตำนานอะไรมาก่อน (ไม่รู้แม้แต่สีประจำมหาวิทยาลัย) งานรับเพื่อนใหม่จึงเป็นเสมือนจุดพลิกผัน การได้รู้จักและเข้าใจประวัติศาสตร์ ทำให้เห็นชีวิตระดับอุดมศึกษาเปลี่ยนไปมาก

ตลอดทั้ง 4 ปีนั้นจึงอยู่ในแวดวงกิจกรรมการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เรียนเป็นส่วนน้อย วิชาไหนที่ไม่ต้องชะตาก็ไม่สนใจ ยังผลให้เก็บเกรดได้งดงาม คือ A B+ B C+ C D+ D F และ W ได้ครบถ้วนในช่วงปี 1 (ถ้าติด I แล้วสภามหาวิทยาลัยอนุมัติปริญญาได้ก็คงจะมี) โดยมากวิชาที่จะได้ D+ และ D คือ วิชาที่มีข้อสอบเป็นปรนัย ปล่อยให้ขาดสอบได้ F มา 2 วิชา อีกวิชาได้ F มาเพราะทะเลาะกับอาจารย์ เคราะห์ดีที่คณะประมาณนี้มักมีข้อสอบอัตนัย ทำนองว่า 3 ชั่วโมง 28 ข้อ ทำให้ได้ A จาก 17 วิชา มาดึงเกรดเฉลี่ย

ความประทับใจอย่างหนึ่งที่มีต่ออาจารย์ในครั้งนั้นคือ วิชาภาษาไทยปี 1 มีหนังสืออ่านนอกเวลา ได้แก่ สิทธารัตถะ และ ก่อนสายหมอกเลือน เล่มหลังนี้อาจารย์ได้เชิญคุณโบตั๋น ผู้ประพันธ์มาบรรยายถาม-ตอบให้นักศึกษาทั้งชั้นปีทุกคณะมาฟัง มีเพื่อนถามไปว่า "สายหมอกในเรื่องนี้จะสื่อความหมายถึงอะไร?" คุณโบตั๋นให้คำตอบ ทุกคนจดกันใหญ่ แต่ผมรู้สึกไม่ชอบใจไม่เห็นด้วย เมื่อถึงวันสอบ มีข้อสอบอัตนัยเพียงข้อเดียวว่า "สายหมอกในเรื่องนี้หมายถึงอะไร" ผมจึงตัดสินใจตอบตามใจชอบแต่ไม่ตรงกับเฉลยของคุณโบตั๋น ย้ำด้วยว่าไม่เห็นด้วยอย่างไร สุดท้ายได้ A ขอขอบพระคุณอาจารย์ภาษาไทยที่เปิดกว้างทางความคิดมา ณ ที่นี้

ส่วนกิจกรรมนั้นผมเคยได้รับเลือกตั้งไปทำงานในองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตำแหน่งประชาสัมพันธ์เมื่อปี 2 และเหรัญญิกเมื่อปี 3 ทำให้พบประสบการณ์แปลกใหม่ อาทิ ผลงานการเขียนโปสเตอร์และป้ายผ้ากว่า 20 ชิ้นถูกใช้ในขบวนแห่ล้อการเมืองงานฟุตบอลประเพณี โดยที่เจ้าของผลงานไม่ไปร่วมงานนี้เลยแม้แต่ปีเดียว ช่วงทำหน้าที่เหรัญญิกก็หาญกล้าไปตัดงบซื้อผ้าไตรทำบุญถวายพระของชุมนุมพุทธศาสนา ประมาณว่ากล้าขอมาก็กล้าตัด

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผมเห็นและมองเรื่องราวเหล่านี้ต่างไปจากเดิมไม่น้อย เพราะไม่สามารถเปลี่ยนไปโดยแก่แค่ทางกายภาพได้ ช่วงเวลานี้ของชีวิตเป็นงานที่ห่างไกลการเมืองแต่เข้าใกล้การศึกษามากขึ้น องค์กรไหนไว้วางใจก็จะไปจัดกระบวนการจัดอบรมให้เขา เขียนบทความเบาๆ สั้นๆ ให้กรุงเทพธุรกิจบ้าง รับงานอีเว้นท์คล้ายพวกดารา แต่ว่าได้เงินน้อยกว่าหลายสิบเท่า บ้างก็ทำฟรี

เอาเป็นว่าเลือกช่วงระยะเวลาจำเพาะมานำเสนอก็คงรู้จักกันพอหอมปากหอมคอแล้ว มิเช่นนั้นต้องร่ายยาวมากเท่าอิชมาเอลค่อนเล่มคงกลายได้เป็นรู้เช่นเห็นชาติกันแทน

ยินดีที่ได้ร่วมเดินทางกับทุกคนใน NREM10 นะครับ

Tuesday, November 30, 2010

แนะนำตัวครับ


ผมชื่อ เผชิญสุข ธีระนุกูล ชื่อเล่นพีท เรียนอยู่ BI ปี 3 ครับ
ขอเรียกแทนตัวเองว่า พีท เลยนะครับ
แบบสั้นๆนะ
พีทเกิดที่ต่างจังหวัด เป็นคนดื้อมาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งคนอื่น ชอบไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่มีอะไรมาผูกมัดเท่าไหร่ ชอบโดดเรียนและหลับในห้องด้วยตอนแรกๆครูเค้าก็ว่า แต่หลังๆเหมือนครูเริ่มชินแล้วมั้ง
ส่วนเวลาว่างชอบไปจับกว่าง จับปลามาตีกัน บ้างก็เล่นว่าว(อยากคิดลึกนะ 555) เล่นแบทุกอย่างทที่เด็กต่างจังหวัดเค้าทำกัน ด้วยเวลาว่างๆที่ต้องไปหากว่าง หาปลาเนี่ยแหละ ทำให้พีทมีคามใกล้ชิดกับธรรมชาติ พอโตมาเริ่มได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติมากขึ้น ได้ไปที่โน่น ที่นี้ เห็นความสวยงามของสถานที่โน่นที่นี้
เวลาว่างตอนโต ชอบเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งไปป่าเขา ทะเล น้ำตก ชอบไปเที่ยอุทยานแห่งชาติต่างๆ เวลาที่พีทเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติแล้ว รู้สึกสบายใจ เหมือนว่าเราอยู่กับคนที่จริงใจกับเรา มอบทุกอย่างให้กับเรา พีชอบฟังเสียงน้ำไหล เสียงคลื่นสาดเข้าหาฝั่ง เสียงหรีดเรไรร้องเวลาอยู่ในธรรมชาติ พีทจะชอบสังเกตดูโน่น ดูนี้ เลยเป็นที่มาที่ทำให้พีทมาเรียน BIO
ส่วนอนาคตก็อยากเรียนต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่จะสามารถทำได้ พีทรู้สึกว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันจบสิ้น พอเรียนจบก็อยากทำงาน เลี้ยงผู้มีพระคุณที่เค้าเคยดูแลเรามา หาแฟนดีๆ น่ารักๆ แต่งงาน มีลูก ก็คงเหมือนกับหลายๆคนที่ฝันไว้เช่นนี้เหมือนกัน

หนาว เหงา เหม่อ


เป็นวันที่ 14 แล้วที่อยู่ที่รัสเซียและเป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ที่นี่ ตอนนี้อยู่ที่ St.Petersburg จริงๆกิจกรรมที่มาเข้าร่วมจบไปได้ประมาณเกือบอาทิตย์นนึงแล้ว และก็บ้าจี้ตามคำยุยงของเพื่อนมาเที่ยวต่อด้วยกัน นั่งเครื่องจาก Vladivostok มายัง Moscow ใช้เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินถึง 8 ชั่วโมง เวลาทั้งสองที่ต่างกัน 6 ชั่วโมง ชั่งเป็นประเทศที่ใหญ่มโหฬารจริงๆ

ตอนนี้แอนอยู่ hostel ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เคยอยู่ Hostel ในนี้มีแต่คนเดินทาง คนเตียงข้างล่างอยู่รัสเซียมาสามเดือนแล้ว ผู้ชายที่กลับไปเมื่อวานเดินทางไปอินเดียต่อ ผู้หญิงอีกคนอยู่ Moscow มาอาทิตย์นึงและจะอยู่ St'peter อีกอาทิตย์นึง ส่วนเพื่อนคนเวียดนามที่แอนตกลงปลงใจมาด้วยกันก็อยู่อเมริกามา 6 ปี จีน 1 ปีและเคนย่าอีก 3 ปี การเดินทางสำหรับคนๆหนึ่งจะมีคำว่ามากเกินไปไหมนะ? การเดินทางสำหรับคนแถบยุโรปถือเป็นเรื่องปกติมากในขณะที่แถบบ้านเรายังยากอยู่มาก การ gap ชีวิตวัยเรียนในเมืองไทยกลายเป็นเรื่องต้องห้าม เด็กจบมัธยมหรอห้ามเที่ยว ต้องสอบเข้ามหาลัยเท่านั้น (ถ้าไม่งั้นปีหน้ามันจะเปลี่ยนระบบอีก 555) เราน่าจะบรรจุการเดินทางไว้ในหลักสูตรซะเลย อาจจะคล้ายๆกับสิงคโปร์ที่ต้องทำงานหรือทำกิจกรรมก่อนหนึ่งปีถึงเข้ามหาลัยได้

การตกลงปลงใจเลื่อนวันเดินทางกลับเมืองไทยไปแม้ว่ากิจกรรมจะจบไปนานแล้วเพราะว่าถ้าให้มาเที่ยวอีกทีก็คงไม่มารัสเซีย ประกอบด้วยมันเลื่อนวันเดินทางได้โดยไม่เสียอะไร ขาดเรียนเพิ่มอีกแค่สองวัน (แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เรียน NREM อีกหนึ่งครั้ง) นอกจากนี้ยังมีเพื่อนไปด้วยและอยากเที่ยวด้วยตัวเองด้วย (ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้ครั้งแรก) แต่เป็นครั้งแรกที่ต้องดูแลตัวเองแทบทั้งหมด ด้วยความที่ไม่ค่อยพร้อมทำให้เราไม่ค่อยรู้อะไร ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน รู้สึกเสียดายเหมือนกันถ้ารู้อะไรมาบ้างจะทำให้เราเสพสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปความประทับใจกลับมา เราอยู่ Moscow กันแค่วันครึ่งและนั่งรถทัวร์อีก 12 ชั่้วโมงมายัง St.petersburg ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว เพื่อนไปไหนก็ห้อยตามเขาไป วันหลังๆเริ่มมีเวลาหาข้อมูลบ้าง แล้วก็ไม่ได้อยากไปที่ๆเพื่อนอยากไป เราก็เลยแยกกันมาเที่ยว วันนี้ออกไปเที่ยวคนเดียวทำให้เราต้องมีสมาธิมากๆ ดูเส้นทาง คอยระวังตัวเพราะว่าวันแรกที่มาโดนขโมย talking dict ไปแล้วหนึ่ง ระหว่างทางเดินกลับก็นึกถึงเรื่องของฝากแล้วก็เดินผิดทางกว่าจะรู้ตัวก็เลยมาไกลซะแล้ว ก็ต้องเดินย้อนกลับไป หนาวก็หนาว (ส่วนเรื่องเที่ยวๆและกิจกรรมนั้นเป็นไงยัง ถ้ามีโอกาสหรือถ้าอาจารย์อำนวยโอกาส อิอิ)

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดินทางมาเมืองหนาว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่หนาวกว่าครั้งไหนๆ อากาศตอนนี้ก็ประมาณลบหกองศาได้ ทำเอาเลือดออกจมูกเลย แล้วเราก็ต้องออกไปเที่ยว ก็ไหนๆก็มาแล้ว หนาวอย่าบอกใครเชียว แอนเคยคิดว่าเมืองไทยแมร่งร้อนเป็นบ้าเลย อยากอยู่เมืองหนาว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเมืองหนาวมันทรมานแค่ไหน หนาวจนมือเท้าไม่รู้สึก ขยับหน่อยก็เหมือนมีเข็มทิ่มแทง จมูกแดงหน้าแดง อาหารการกินก็ไม่ค่อยมีอะไร มีแต่ขนมปัง ผักผลไม้ก็แพงเหลือหลาย ที่นี่รู้แล้วว่าเมืองไทยของเราน่าอยู่แค่ไหน (ไม่รวมเรื่องการเมืองนะ)

การเดินทางไม่เคยมีคำว่าขาดทุน แต่การเดินทางทุกการเดินทางใช่ว่าจะสวยงามเสมอ...

Monday, November 29, 2010

สถานการณ์ส่ง Review ในราตรีที่ 29 พฤศจิกายน


ถึงแม้งานส่งคราวนี้จะมีเวลากำหนดที่ค่อนข้างไม่ดึกมากนัก แต่คาดว่า งานนี้ได้หูตูบกันเลยทีเดียว

สามทุ่มแล้ว ฯ ตอนนี้ เพื่อนๆเป็นอย่างไรกันบ้าง

สู้ๆๆนะทุกคน !!!