อาจารย์เอเชียเคยถามผมว่า "อยากให้นศ.ในคลาสเรียกว่า อาจารย์หนุ่ม หรือพี่หนุ่ม?"
"เรียกว่าพี่หนุ่ม มั้ง" เพราะสรรพนามนำหน้าว่าอาจารย์มักถูกคนในวัยใกล้กันหรือสูงกว่ามาเรียกเสมอ นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีสถานภาพเป็นอาจารย์ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหิดลเสียด้วย
ตามธรรมเนียมนิยมครับ ขอเล่าเรื่องประวัติการศึกษา ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ปริญญามา 2 ใบ ใบแรกคือสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาบัณฑิต นับว่าเป็นผลงานทางการศึกษาในชีวิตที่ได้มาแบบไม่เหนื่อยยากมากนัก เพราะเลือกคณะที่ไม่ต้องแข่งขันมาก เมื่อยุคสมัยที่สังคมไทยยังใช้การสอบทั้งประเทศโดยให้นักเรียนเลือกคณะได้ 6 อันดับ ผมก็เลือกแค่ 3 เหตุเพราะไม่ค่อยมีคณะไหนที่ 1)ไม่ต้องสอบวิชาชีววิทยา 2)น่าสนใจ และ 3)คะแนนต่ำพอจะให้เลือกเผื่อไว้ในอันดับที่ 4-6 ได้ ด้วยเหตุนี้จึงประหยัดค่าสมัครสอบไปได้มาก สอบแค่ 5 วิชา 3 อันดับ กับเงินค่าสมัครที่ยืมคุณแม่ของเพื่อนไปจ่าย จนบัดนี้ก็เข้าใจว่าผมยังไม่มีโอกาสได้ใช้คืน
ส่วนอีกใบคือพัฒนาแรงงานและสวัสดิการมหาบัณฑิต แต่ขอแนะนำตัวไฮไลท์ในช่วง 4 ปีของใบแรกครับ
ช่วงเวลาที่ใช้ไปสำหรับได้ปริญญาตรีก็นับว่าคุ้ม ผมเลือกที่นี่เพราะอยากจะห่างจากฟิสิกส์ ชีววิทยา และมหาวิทยาลัยขอนแก่น แม้ว่าจะมีโควตาและสัมพันธ์ทางใจในฐานะนักเรียนโรงเรียนสาธิตฯ มา 2 ปีก็ตาม เมื่อมาอยู่แหล่งศึกษาร่มเย็นเด่นริมสายชล (ดังเนื้อเพลง..) ก็ไม่เคยรู้ตำนานอะไรมาก่อน (ไม่รู้แม้แต่สีประจำมหาวิทยาลัย) งานรับเพื่อนใหม่จึงเป็นเสมือนจุดพลิกผัน การได้รู้จักและเข้าใจประวัติศาสตร์ ทำให้เห็นชีวิตระดับอุดมศึกษาเปลี่ยนไปมาก
ตลอดทั้ง 4 ปีนั้นจึงอยู่ในแวดวงกิจกรรมการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เรียนเป็นส่วนน้อย วิชาไหนที่ไม่ต้องชะตาก็ไม่สนใจ ยังผลให้เก็บเกรดได้งดงาม คือ A B+ B C+ C D+ D F และ W ได้ครบถ้วนในช่วงปี 1 (ถ้าติด I แล้วสภามหาวิทยาลัยอนุมัติปริญญาได้ก็คงจะมี) โดยมากวิชาที่จะได้ D+ และ D คือ วิชาที่มีข้อสอบเป็นปรนัย ปล่อยให้ขาดสอบได้ F มา 2 วิชา อีกวิชาได้ F มาเพราะทะเลาะกับอาจารย์ เคราะห์ดีที่คณะประมาณนี้มักมีข้อสอบอัตนัย ทำนองว่า 3 ชั่วโมง 28 ข้อ ทำให้ได้ A จาก 17 วิชา มาดึงเกรดเฉลี่ย
ความประทับใจอย่างหนึ่งที่มีต่ออาจารย์ในครั้งนั้นคือ วิชาภาษาไทยปี 1 มีหนังสืออ่านนอกเวลา ได้แก่ สิทธารัตถะ และ ก่อนสายหมอกเลือน เล่มหลังนี้อาจารย์ได้เชิญคุณโบตั๋น ผู้ประพันธ์มาบรรยายถาม-ตอบให้นักศึกษาทั้งชั้นปีทุกคณะมาฟัง มีเพื่อนถามไปว่า "สายหมอกในเรื่องนี้จะสื่อความหมายถึงอะไร?" คุณโบตั๋นให้คำตอบ ทุกคนจดกันใหญ่ แต่ผมรู้สึกไม่ชอบใจไม่เห็นด้วย เมื่อถึงวันสอบ มีข้อสอบอัตนัยเพียงข้อเดียวว่า "สายหมอกในเรื่องนี้หมายถึงอะไร" ผมจึงตัดสินใจตอบตามใจชอบแต่ไม่ตรงกับเฉลยของคุณโบตั๋น ย้ำด้วยว่าไม่เห็นด้วยอย่างไร สุดท้ายได้ A ขอขอบพระคุณอาจารย์ภาษาไทยที่เปิดกว้างทางความคิดมา ณ ที่นี้
ส่วนกิจกรรมนั้นผมเคยได้รับเลือกตั้งไปทำงานในองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตำแหน่งประชาสัมพันธ์เมื่อปี 2 และเหรัญญิกเมื่อปี 3 ทำให้พบประสบการณ์แปลกใหม่ อาทิ ผลงานการเขียนโปสเตอร์และป้ายผ้ากว่า 20 ชิ้นถูกใช้ในขบวนแห่ล้อการเมืองงานฟุตบอลประเพณี โดยที่เจ้าของผลงานไม่ไปร่วมงานนี้เลยแม้แต่ปีเดียว ช่วงทำหน้าที่เหรัญญิกก็หาญกล้าไปตัดงบซื้อผ้าไตรทำบุญถวายพระของชุมนุมพุทธศาสนา ประมาณว่ากล้าขอมาก็กล้าตัด
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผมเห็นและมองเรื่องราวเหล่านี้ต่างไปจากเดิมไม่น้อย เพราะไม่สามารถเปลี่ยนไปโดยแก่แค่ทางกายภาพได้ ช่วงเวลานี้ของชีวิตเป็นงานที่ห่างไกลการเมืองแต่เข้าใกล้การศึกษามากขึ้น องค์กรไหนไว้วางใจก็จะไปจัดกระบวนการจัดอบรมให้เขา เขียนบทความเบาๆ สั้นๆ ให้กรุงเทพธุรกิจบ้าง รับงานอีเว้นท์คล้ายพวกดารา แต่ว่าได้เงินน้อยกว่าหลายสิบเท่า บ้างก็ทำฟรี
เอาเป็นว่าเลือกช่วงระยะเวลาจำเพาะมานำเสนอก็คงรู้จักกันพอหอมปากหอมคอแล้ว มิเช่นนั้นต้องร่ายยาวมากเท่าอิชมาเอลค่อนเล่มคงกลายได้เป็นรู้เช่นเห็นชาติกันแทน
ยินดีที่ได้ร่วมเดินทางกับทุกคนใน NREM10 นะครับ