Saturday, November 13, 2010

แนะนำตัว แบบ ฉึกๆ ด้วย




สวัสดีครับอ่านประวัติพี่นุ๊กแล้วแบบว่า ช่างมีส่วนคล้ายกันในหลายๆเรื่องราวมั๊กมั๊ก เคยเป็นเด็กที่อยากเรียนเมืองนอก เพื่อตามหาอะไรซักอย่าง คิดว่าเมืองไทยเนี่ย มันไม่มีสิ่งที่เราต้องการ แต่ความคิดเหล่านี้มันก็ค่อยๆจางหายไป เกือบปีแล้วมั๊ง

บอส บอสซ่า บอสซึ คือชื่อที่แนะนำตัว แล้วแต่อารมณ์จริงๆ เป็นคนพิจิตรแต่กำเนิด เป็นลูกของพ่อขาว แม่จิ๋ม
มีพี่น้องรวมบอส เป็นสี่คน พี่คนโตเป็นฝาแฝดชื่อ พี่ก๊อฟ(ช) กับพี่เยาว์(ญ) พี่เยาว์อายุ 30 ปี พี่ก๊อฟมีอายุได้แค่ 23 ปี ก่อนจากไปด้วยโรคอ้วน พี่ ของรองชื่อ กิ๊ฟ พี่เยาว์ทำงานอยู่บริษัทโซนี่ที่ปทุมธานี พี่กิ๊พเรียนจบแล้วไปช่วยงานพ่อกับแม่ที่บ้าน ที่บ้านขายส่งอาหารสด(ห้องเย็น) ไก่ สด อาหารทะเล เป็นต้น ชีวิตพ่อแม่ลำบากมาก
หลังจากแต่งงานพ่อแม่ทะเลาะกับตา และพ่อแม่หนีออกจากบ้านพร้อมลูกแฝด ด้วยของเพียง 1 รถสามล้อ มีเงินติดตัว 350 บาท (คล้ายกับเสื่อผืนหมอนใบ) พ่อแบกร่มเช่า แม่ขายปลาสด ชีวิตผ่านมรสุม ทำงานหนักจนฟังแล้วน่าทึ่ง จนสามารถตั้งตัว และเป็นร้านส่งอาหารสดรายใหญ่ในอำเภอได้ในเวลา 10 กว่าปี (เป็นชีวิตพ่อแม่ที่ลูกทุกคนประทับใจมากๆ) ผมเกิดมาตอนปี 2534 ปีที่ชีวิตพ่อแม่กำลังยุ่งมาก พ่อเล่าให้ฟังว่า ตลอดเมลาที่ท้องผมแม่ต้องขายผลไม้ตลอด จนถึงวันคลอด ตอนนั้นชีวิตพ่อกับแม่ตอนนั้นต่างคนต่างทำงานหนักเพื่อสร้างตัว บ้านเช่าผนังสานไม้ไผ่ เป็นที่อยู่ของครอบครัวเราตอนผมเกิด แน่นอนหากผมเกิดมาคงไม่มีใครดูแล ในวันคลอดแม่เล่าให้ฟังว่า ตาหนีไปบวชเพราะไม่ต้องการเลี้ยงผม วันคลอดผมเป็นวันที่แม่ท้อแท้มาก อยู่กับแม่ได้ไม่กี่วัน ปู่ก็มารับไปอยู่กับย่าที่บ้านยางคลี (ห่างจากตัวอำเภอตะพานหินที่แม่อยุ่ไปเกือบ 6 กิโล)
ตอนเด็กๆเลยอยู่กับย่า พ่อแม่ไม่ได้มีเวลาไปหานัก เพราะตอนผมเกิดมาไปถึงปีพ่อกับแม่ก็ออกรถยนมาเพื่อไปรับของที่นครสวรรค์มาขาย ชีวิตพ่อกับแม่ยิ่งยุ่งไปใหญ่ ผมอยู่กับย่าไปบ้านยางคลี ที่ๆผมนึกในตอนนี้ได้ว่ามันเป็นที่ๆทำให้ผมมีความสุขและอบอุ่นมากที่สุด บ้านตรงข้ามวัด มีคลองกั้น เดินจากหลังบ้านไม่ไกลเป็นสวนมะม่วง ผมกับย่าใส่บารตกันทุกเช้า และไปทำบุญทุกวันพระที่มีโอกาส ว่างๆเราก็จะเดินไปสอยม่ะม่วง มะปราง กล้วย ที่สวนของย่า ย่าชอบทำบัวลอยไข่หวาน ข้าวต้มมัด ขนมตาล ผมได้กินและได้ช่วยย่าทำอยู่บ่อยๆ อาหารที่ย่าทำ (ต้มข่าไก่ ต้มมะนาวดอง ของโปรดผม) คืออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้กินจนถึงทุกวันนี้ เสียดายผมไม่มีโอกาสจะได้กินมันอีกแล้ว ย่าเริ่มพูด ขยับตัว ไม่ได้ เมื่อตอนปีที่แล้ว ตอนปีหนึ่งเทอมต้น ช่วงที่ผมห่างจากย่ามากที่สุด(เพราะมันเรียนหนักมากบ้านแทบไม่ได้กลับ) ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือตอนไหน ตอนที่ย่าไม่สบายก่อนที่เส้นเลือดในสมองย่าจะแตก แม่โทรมาบอกผมว่า ให้โทหาย่าหน่อยย่าไม่สบาย ผมอ่านหนังสืออยู่ จนลืมโท อีกวันนึกได้จึงโท แต่ย่าไม่สามรถรับได้เสียแล้ว ย่าอยู่โรงพยาบาลแล้ว และจากนั้นผมก็ไม่สามารถคุยกับย่าได้อีกเลย
คิดถึงย่ามาก.....

ผมอยู่กับย่าจนป.4 แม่บังคับให้มาอยู่กับแม่ที่บ้านที่แม่สร้างใหม่ ผมไม่อยากมาอยู่เลย ผมไม่สนิทกับใครในบ้าน พี่เยาว์ พี่ก๊อฟ พี่กิ๊ฟ เค้าสนิทกันอยู่แล้วแต่ไม่สนิทกับผม ผมจึงเป็นเด็กมีปัญหาเล็กน้อย มาอยู่ได้ไม่นานพี่ฝาแฝดก็ไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมจึงไม่สนิทกับพี่ 2 คน นัก
มันมีโอกาสที่ดีเริ่มขึ้นเมื่อพี่ก๊อฟ(ได้ออกจากมหาวิทยาลัยสงขลาตอนปี 2 มาอยู่บ้านเพราะไม่ชอบในสิ่งที่เรียน) กับน้าฑิต ซึ่งเป็นน้องของแม่ ได้ร่วมกันตั้งวงดนตรีคอมโบเล็กๆ ไปตามงานบวชงานแต่ง ฝึกซ้อมแด๊นเซอร์


อะไรทำนองนี้ ทำไห้ผมได้ไปช่วยงานพี่ก๊อฟเล็กๆน้อยๆเวลามีงาน ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น น้าฑิตก็เช่นกัน


ผมก็ได้ซึมซับงานทำวงดนตรีหลายอย่าง พอผมเริ่มสนิทกับพี่ก๊อฟ ย้ายจากนอกห้องแม่มานอนกับพี่ก๊อฟ ผมก็รักพี่ก๊อฟมาก วันหนึ่ีงพี่ก๊อฟซึ่ง น้ำหนักตัว 130 กว่าๆ ก็หลับไปแล้วไม่ยอมตื่นขึ้นมา น้าฑิตซึ่งสนิทกับพี่ก๊อฟมากก็เมาจนเสียสติ ต้องเข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา และหนีหายไป จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครได้เจอน้าฑิตอีกเลย


ผมกับพ่อซึ่งชอบในดนตรีเหมือนกัน ก็เลยได้ทำวงดนตรีแทน ชิวิตการเรียนมัธยมของผมก็เลยสุดเหวี่ยงไปเลย


เสาร์อาทิตย์ซึ่งทำวงดนตรีก็ นั่งหกล้อไปกับคนงานแต่เช้า เพื่อไปตั้งเวทีเครื่องเสียง ตอนเย็นถึงกลางคืนผมก็เป็นคนคุมเครื่องเสียง(ซึ่งได้วิชามาจากน้าฑิต และหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทผสมด้วย) ไปงานที่ไหน บางทีเจอนักดนตรีอายุมาก เค้าก็ดูถูกเอาว่า เด็กขนาดนี้จะรอดรึ๊ รอดบ้างไม่รอดบ้างแหละครับ เด็กขนาดนี้จะไม่รอดซะเป็นส่วนใหญ่ในช่วงแรกๆ บางทีก็ข้าวของพังลำโพงขาดแอมป์ไหม้กันไป แต่พ่อก็วางใจ จนผมก็สามารถคุมจนรอดได้ ไปงานดนตรีนี่ก็ทำทุกอย่างเลยครับ ยกลำโพง ขึ้นนั่งร้าน เคยตกนั่งร้านสามชั้นจบเดินแทบไม่ได้ แต่ก็ยังไม่เข็ดครับ ไฟช็อตนี่เป็นเรื่องปกติเลย เด็กต่อไฟน่ะครับ มันก็ไม่ได้รอบคอบอะไร พออยู่ม.ปลายวิชาก็แก่กล้ามากขึ้น ประกอบกับพ่อก็ลงทุนให้มากขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าได้กำไรนะครับ ชอบล้วนๆนะครับ ก็ได้ไปเที่ยวไปดูศึกษางานคอนเสิร์ตมากขึ้น ผมนี่ก็แทบจะคุมวงเองเลย พ่อก็ไปเฉพาะตอนเย็น ได้ฝึกวิชาการบริหารคน ทำเอาคนงานออกเพราะผมไปหลายราย ฝึกวิชาการอดทนกับความเรื่องมากของผู้จ้าง ความเก๊กของนักดนตรี มากมายครับ ชีวิตโลดโผนมาก ความรับผิดชอบก็สูงมาก คิดว่าเกินเด็กวัยเดียวกันเยอะนะครับ เพราะบางทีได้ไปรับผิดชอบคุมงานพิธีการอย่างวันพ่อ วันปีใหม่ของอำเภอ อะไรอย่างเนี๊ยะน่ะครับ เคยทำงานเสีย(แบบพีธีการเค้าเสียหาย พิธีกรก็ว่าออกไมค์) จนร้องไห้ไม่อยากทำต่อ ทั้งที่งานนี้พ่อเพิ่งลงทุนเพิ่มใหม่ไปหลายหมื่น ทำงานนี้ก็ประสบการณ์หลายอย่างมากแข้มเข็งขึ้นมาก ตากแดดตากฝนทนร้อน กินข้าววัด เวลาไปบ้านนอกนะครับ ไปงานวัดก็ต้องกินข้าววัด ยกตู้ลำโพงก็ไม่ใช่เบาๆ มากมายครับ เพิ่งได้คุยกับพ่อเมื่อไม่นานมานี้พ่อเค้าก็เฉลยว่า ที่ไว้ใจให้ทำ หรือให้คุมคนเดียวทั้งวงเนี่ย ก็เพราะว่าอยากฝึกให้เรามีความรับผิดชอบ ได้บริหาร เพราะพ่อก็ลงทุนเยอะ เราทำเสียก็เยอะ แต่พ่อก็ยังให้เราทำ ก็รู้สึกโชคดีและได้อะไรเยอะมากกับการให้โอกาสของพ่อ นี่ชีวิตด้านการทำงานตอนมัธยม ก็สนุกแล้ว ชีวิตด้านอื่นก็ไม่แพ้กันครับ ทำงานดนตรีก็สนิทกับคนงาน ว่างๆเค้าไปหาปลา ช๊อตปลา ปักเบ็ด หว่านแห แทงกบ วางลอบ เคยมาหมดครับ ในเวลาเดียวกันตอนม.ต้นนี่ก็ติดเกมมาก แร็คนาร๊อค ไปเล่นร้านเกมบางวันกลับบ้านเช้าก็มีครับ ช่วงนั้นโดนแม่ว่าเยอะมาก ทะเลาะกันบ่อยมาก เด็กแว๊นซ์ แต่งรถ มีเรื่องชกต่อย เคยโดนรุมกระทืบ มากมายครับชีวิตช่วงม.ต้นนี่ห่ามมาก การเรียนในห้องก็ไปเรื่อยๆครับเฮฮามันไม่เคยเครียดครับ ชีวิตเปลี่ยนไปตอนม.สามครับ ไปชอบน้องม.สอง ชื่อมิกซ์ น้องเค้าเรียบร้อยมาก เราก็ยอมวางทุกอย่าง ไม่เคยมีเรื่องเลยหลังจากนั้น น้องมิกซ์เค้าสนิทกับเพื่อนห้องผมที่เป็นเด็กเรียน ผมก็เลยต้องไปสนิทกับพวกเด็กเรียนที่เคยไม่ชอบ เราก็ต้องขยันเรียนไปด้วย ประกอบกับไปเจออาจารย์ชีวที่ชอบครับ ชีวิตมันก็เลยเปลี่ยนไปเยอะครับ ไปเรียนพิเศษ เคมี อ.อุ๊ตามเพื่อนตอนจะขึ้นม. 4 ที่พิษณุโลก เพราะไม่อยากอยู่บ้าน อยู่บ้านก็ต้องช่วยงานแม่ ตอนนั้นเบื่อครับ ไปก็เรียนได้มันก็เลยกลายเป้นสนใจเรียนขึ้นมา ม.4 -5 ก็ได้เรียนชีวกับอ.คนเดิม ก็สนุกเลยครับ ม. 5 ติดโอลิมปิค สอวน. เป็นคนเดียวของโรงเรียน ว๊าว นี่ล่ะจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ ติดไปแบบฟลุ๊คๆ ไปก็ตั้งใจแหละครับ เพราะสถานการณ์ในค่ายมันกดดัน ใครเคยเข้าจะรู้ครับ มีแต่คนเก่งๆ รอบแรกรับ 35 คน จาก 4 พันหว่า ตัวสำรอง 3 ผมติดอันดับ 38โชคดีปีนั้นเค้าเรียกตัวสำรองไปครบ รอบต่อไปเค้าจะคัดเหลือ 20 บังเอิญติดที่ 19 อีก มันก็เลยตั้งใจครับ รอบต่อไปเหลือ 6 ผมก็ติดที่ 6 อีก การได้ไปทั้ง 3 ค่ายของสอวน.มันก็ทำให้ผมได้เปิดมุมด้านวิทยาศาสตร์เยอะมาก เห็นโลกมากกว่าตอนที่อยู่โรงเรียนมาก ก็เป็นสาเหตุนี่แหละครับที่ได้มาอยู่วิทยามหิดล ถ้าผมไม่ติดไปหรือติดแค่ค่ายแรก ผมก็คงไม่มาถึงจุดนี้น่ะครับ


ชีวิตผมโชคดีครับ โอกาสของเด็กบ้านนอกน้อยกว่าเด็กเมืองจริงๆครับ ผมได้มาอยู่นี่ถือว่าโชคดีมาก


นั่งเขียนไปก็นึกว่า โหเราได้ผ่านอะไรตอนมัธยมมาเยอะขนาดนี้เลยหรอ หลายๆครั้งที่ผมรู้สึกดีใจ เช่น ได้ทุนศรีตรังทอง แล้วไปคุยกับมิกซ์เนี่ย มิกซ์ยังถามอยุ่บ่อยๆเลย ว่าพี่จำไอ้บอส เxี้ยๆ คนนั้นได้ป่ะ นึกถึงทีไรก็ยิ้มทุกทีครับ (ผมเคยกระชากคอเสื้อและ ชกหน้าอ.พละที่โรงเรียน ด้วยนะครับตอนม.ปลาย) ผมในโรงเรียนเนี่ยก็เลยเป็นเด็กค่อนข้าวเลวในสายตาของอ.ที่โรงเรียน ก็ตอนนั้นมันเลือดร้อนจริงๆ


ชีวิตตอนที่มาอยู่มหิดลนี่ก็เปลี่ยนไปเยอะมาก รู้สึกว่าตั้งใจเรียนแบบไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ก็เหนื่อยแหละครับ


ในช่วงที่กำลังเหนื่อยๆหลังสอบมิดเทอมแรกแหละครับ ถึงได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ไปไอดอลของผมซักที และผมก็ตามไอดอลคนนั้นเรื่อยๆ จนมาอยู่คลาสนี้แหละครับ ^ ^


Friday, November 12, 2010

แนะนำตัวครับ

ชื่อจริง ชาตรี เฮงสกุลวงษ์
ชื่อเล่น การ์ด
ชื่อ.....เล่น จริงๆแล้วมีการผิดเพี๊ยนไปหลายครั้งเหมือนกันจนกว่าจะได้บทสรุป ตอนเกิด ที่บ้านอยากให้มีพี่น้อง 3 คนชื่อตัว ก และด้วยความรู้ภาษาอังกฤษของเฒ่าแก่จบ ป.4 และ ป.7 ^^ เลยตั้งไว้ว่า เกด ก๊าด กิ๊บ โดยที่เป็นการออกเสียงผันวรรณยุคและสระกับตัวสะกดเท่านั้น ไม่มีความหมาบและคำแปล ซึ่งครั้งแรกของสามพี่น้องที่ถูกถามชื่อและความหมายจาก ร.ร. ทุกคนก็กลับมาถาม และก็ได้คำตอบเดียวกันว่า"ไม่รู้ ไปเขียนเองแล้วกัน O.O" (น่ารักแมะ) ผมก็ไม่รู้จะทำยัง จนอาจารย์ถามพร้อมแนะว่า น้ำมันก๊าซรึเปล่า คิดว่าเด็กอนุบาลจะตอบยังไง ..."มั้งคับ" จากนั้นพอได้ป้ายชื่อจะได้ เป็น GAS ตลอดเวลา ซึ่งยังไม่รู้เรื่องจนเข้าเรียนชั้นประถมถึงรู้ว่าตัวเองเป็นสสารสถานะที่เป็นไอ แถมมีที่มาจากปั๊มน้ำมันซึ่งใช้ในการจุดระเบิดได้ ก็เลยระเบิดเลยคับ รีบไปหาความหมายใหม่ทันที และกลายมาเป็นชื่อปัจจุบัน แต่สำหรับเพื่อน รร. ประถมยังคงเขียนชื่อให้ว่า GAS จนทุกวันนี้-_-" นอกจากนี้ ผมเข้าเรียนดนตรีที่สยามกลการแถวบ้านตอน ม.3 และได้ตั้งวงกับอาจารย์สอนกีตาร์คลาสสิค ซึ่ง ทุกคนต่างเรียกผมด้วยชื่อจริง ทั้งสาขานั้น!! ยิ่งนานวันคำยาวๆก็ถูกรวบให้สั้นจนเหลือเพียง "ตี้" (น่ารักอีกแล้ว) ซึ่งทุกวันนี้ เพื่อนๆและอาจารย์ในสาขานั้นก็ยังคงเรียกกันอย่างนี้อยู่ -_-"" ในช่วง ม.ปลาย ผมย้ายตัวเองจากห้องอินเตอร์ ไปวิทย์-คณิต(ก็ค่าเทอมมันแพง@#%^*$!!!!) ซึ่งทำให้ผมกลายเป็น ฝ่ายวิชาการและต้นฉบับ(คนเดียว)ของห้อง ซึ่งเพื่อนก็เรียกกันว่า ดิจิตอล และจากการกร่อนคำลงด้วยระยะเวลานาน เลยเหลือแค่ "ตอล" (WTF!) ซึ่งเพื่อนๆหลายๆคนยังเรียกด้วยชื่อนี้อยู่ -_-"""
แต่โดยส่วนตัวแล้ว ชอบ ตัว K มากกว่า C ซึ่งดูมีพลังและความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแถมการออกเสียงในภาษาอังกฤษ(Native) ก็แทบไม่ต่าง เลยเลือกที่จะใช้ตัว K หรือ IC (ตัว K ในรูป C) เป็นการส่วนตัวซึ่งทำให้ชื่อดูเป็นเอกเทศ ไม่เหมือนใครดี^^ แต่ทำให้มีคนอีกกลุ่มเรียก ICard ว่า ไอ้การ์ด และปัจจุบันนี้ก็ยังเรียกอยู่ -_-"""" เฮ้อ~~

กำพืด--> เกิดวันที่ 23 ส.ค. 31 ในบ้านของพ่อค้าเชื้อสายจีนใจกลางเมืองระยอง แซ่ฮ้อ(พ่อ=ป๊า) และ แซ่แต้(แม่=ม๊า)ซึ่งกลายมาเป็น "เฮงสกุลวงษ์" ( O.O! หารากศัพท์แทบไม่เจอ ^^) สามพี่น้องได้เข้าเรียนก่อนเกณฑ์กันหมด แต่ตอนผมกำลังจะจบอนุบาลสอง ป๊า ลืมไปหาที่เรียนต่อให้ ม๊าเลยเอาเข้าไปฝากให้อาจารย์ที่อนุบาลช่วยรับเรียนต่อให้อีกปีนึง (ดูเธอทำ ไม่งั้นก็เรียนจบปี 4แล้วเนี่ยะ) แต่เด็กๆก็ไม่รู้เรื่องอะไรนัก สำหรับการเรียน ก็อาศัยจากที่บ้านทำการค้า การคำนวณจึงเป็นไวกว่าเพื่อนๆ แถมยังต้องช่วยที่บ้านขายของ ส่งของเพราะลูกน้องไม่พอใช้ เด็ก ม.1 ส่วนสูง 155 เลยมาแบก กระสอบน้ำตาล (50 kg) เป็นว่าเล่น ซึ่งน่าจะเป็นผลจากกิจกรรมนี้ทำให้ความสูงนั้นค่อนข้างหายากในครอบครัว ~~ ด้วยกิจกรรมทางบ้าน ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าผมกลายมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพคับปล้อง(สั้นๆ)นี้
ในช่วง ม.ต้น หลายๆคนอาจจะยังจำกันได้กับคำว่า แบกตู้เสื้อผ้า แบกตู้เย็น ตู้ต่างๆนานา มาเรียน ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่ขยันแบกตู้มาเรียน เพราะชอบคิดว่า ถ้าใส่หนังสือที่จะเรียนและการบ้านไว้ให้หมด จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แถมไม่ต้องจัดกระเป๋า ^^ (ไม่รู็ดีไม่ดี)
ถูกป๊าบังคับให้ไปเรียน กีตาร์คลาสสิค(ทำไมต้องคลาสสิคตอนนี้ยังไม่เข้าใจเลย) เพราะปัญหาติดเกมฯ ><
หวังว่าจะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ซึ่งก็ทำให้ผมได้คนพบตัวเองอีกว่า รักดนตรี มากๆ แต่.... ไม่สามารถเลิกเล่นเกมได้อยู่ดี เหอๆ
กำลังจะจบ ม. ปลาย ก็ชอบในวิชาฟิสิกส์(แบบ ม.ปลาย) แต่ด้วยความไม่ตาม "เทรนด์" เลยไม่เอาหรอก วิศวะ จุ_าฯ(จุ๊จุ๊จุ๊ อย่าเอ็ดไป เหอๆ) คนเรียนกันเกลื่อน ในขณะที่ ป๊าก็ หมอดีกว่าลูก เลยเข้าเรียนฟิสิกส์ มหิดล เฮ้ออออออออออ~~~ คงไม่ต้องบอกต่อและส่วนนี้ =p
ชอบการทำกิจกรรมเป็น หมู่คณะโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับดนตรี ทำให้หลวมตัวไปเข้าวงคอรัส และหัวปักหัวปำจนร่วมกันกับเพื่อน ปล้ำขึันมาเป็นชมรม ทำให้ได้ทั้งการเรียนรู้ ทั้งทักษะใหม่ๆ ทั้งการสอน ทั้งนิสัย ทั้งสังคม และได้ ครอบครัวที่สองที่ภาคภูมิใจ ^o^

ชิวิต 3ปีที่ผ่านมา--> เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมากมาย เพราะ การที่ได้เจอคนใหม่ๆจากทั่วทุกที่ ทำให้รู้ว่า โลกของเรามันยังเล็กนัก ทำให้ได้พบคนที่คิดว่าคงมีแค่ในละครช่อง 7 (พาดพิงไปปะ) แต่ที่สุดคือ พบคน ที่ไม่คิดว่าจะมีจริงในโลก (เออต่างคนก็ต่างมุมนะ คนนั้นเขาอาจจะไม่เคยเห็นผมในโลกของเขาเลยก็เป็นไปได้ เหอๆๆ) และ ยังได้เข้าใจวิถีชีวิตแบบ Survival มากขึ้น โดยเฉพาะการเอาตัวรอดในภาค เฮ้อออออออออออออออ~~~~~~~ คงไม่ต้องบอกต่อและ เหอๆ

ข้อคิดส่วนตัว---> ชอบมองโลกในแง่ดีพร้อมรอยยิ้ม เพราะ คิดว่ามันเป็นทางออกและคำตอบของ ทั้งปัญหาและแง่ร้ายทุกประการ

ปัจุบันนนี้ -->ยังคงติดเกมอยู่

ขอบคุณครับ ^^

ความคิดเห็นจากมือถือเครื่องใหม่

ครับ ขอกลับมาแสดงความคิดเห็นในโพสของตัวเองครับ (ตอนแรก ไม่ทราบรูปแบบ ต้องขออภัย ^^)

มือถือเอง ปัจจุบัน ถูกสังคมผลักดันให้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ผมว่ามันก็เป็นเรื่องดี การมีมือถือเครื่องเดียวทำให้เราไม่ต้องแบกของต่างๆมากมายไปทำงาน ไปเรียน หรือประกอบกิจกรรมต่างๆ และการที่มีระบบที่ทำให้ติดต่อสื่อสารที่สะดวกส่งผลดีรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประชุม conference ซึ่งคนที่ร่วมการประชุมอาจจะกำลังทำงานกันอยู่คนละที่ ไปจนถึง การรักษาความปลอดภัย หรือในกรณีฉุกเฉินต่างๆ นอกจากนี้ การอัพเดทของบริษัทที่สนับสนุนให้มือถือเครื่องใหม่ๆ ออกมามีช่องทางการสื่อสารเพิ่มขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้คนใช้อุปกรณ์นี้ได้อย่างกว้างขวางและหลากหลายขึ้น การติดต่อข่าวสารและการ "อัพเดท" ต่างๆก็เป็นเรื่องง่าย และอย่างคำที่ทุกๆคนรู้กัน "ข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญต่อสัตว์สังคมอย่างมนุษย์" ซึ่งยิ่งทำให้มือถือกลายมาเป็นอุปกรณ์ที่ "จำเป็น"

ทัศนคติ ของคนที่ใช้มือถือส่วนใหญ่ก็เป็นอะไรประมาณนี้ ซึ่งผมเองก็คิดเช่นนั้น แต่ สิ่งหนึ่งที่ถูกปลุกฝังมาพร้อมกับการสื่อสารที่ผู้ใช้มือถือ ทุกคนที่ไม่ทันสังเกตุ ก็คือการ "อัพเดท" เพราะช่องทางใหม่ๆในการสื่อสาร ที่บริษัทสร้างขึ้นมาทำให้เกิดการ"อัพเดท"ที่ต้องการการ "อัพเดท" จากผู้ใช้เช่นกัน ถ้าผู้ใช้ไม่ปลี่ยนมาใช้ อุปกรณ์ใหม่ ก็จะไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารหรือวิธีการแบบใหม่ๆ นี้ได้ ดังนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีทุนพร้อม ผู้ใช้ต่างก็พร้อมที่จะ"อัพเดท" เพื่อมีแหล่งข่าวสารใหม่ๆ มาไว้ในครอบครอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากตั้งแต่อดีต (Nokia3310โทรได้มีเสียงเรียกเข้าดีๆก็หล่อแล้ว) ถึงปัจจุบัน(BB เฮ้ยมาแลกPIN กันเว่ย ) จนเกิดเป็น เทรนด์ ที่คนที่ไม่มีจะถูกมองว่าล้าหลัง (ซึ่งมันก็คนส่วนใหญ่ในประเทศด้วยซ้ำ) โดยทั้งหมดนี้มันก็เป็นอุบายเพื่อ การตลาดของบริษัท เท่านั้นเอง

มือถือเครื่องใหม่มีดีอะไร สำหรับผมการเปลี่ยนจาก 3310 มาเป็น N73 เนี่ยะ มันโทรออกได้เหมือนกัน รับสายได้ มีริงโทน sms แต่พอผม "อัพเดท" ผมถ่ายรูปได้(ใช้ทำงาน), ผมเช็ค e-mail(ติดต่องานเวลาอยู่นอกสถานที่) , บอกตำแหน่ง GPS (เวลาไปเที่ยวไม่ต้องมาการแผนที่3เมตรครึ่งแล้วเอาหมุดปัก), dictionary, Vedio recorder, mms(บางที) เอ้อ ยังไม่รวมถึงเครื่องคิดเลขที่มีมาตั้งแต่ 3310 และยังมีอื่นๆที่ผมได้ใช้งานจากฟังก์ชั่นทั้งหมด ซึ่งผมก็ว่ามันคุ้มค่ากับการ "อัพเดท" ซึ่งผมก็ได้ใช้มันมาตลอด 4 ปี(ด้วยความสมบุกสมบัน) แต่อย่างการ"อัพเดท"ของผู้ใช้ในปัจจุบัน จาก Nseries ไปเป็น BB หรือ iphone,etc. สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นอะไรที่ "จำเป็น" ต้อง "อัพเดท" โดยเฉพาะในเร็ววัน จริงหรือ? นอกจากกลัวตกเทรนด์ แล้ว ผมก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่คุ้มค่ากับเงินกับทรัพยากรณ์ของโลกและเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในบทความนี้เลย แต่คนส่วนมากในสังคมไทยยังคงเลือกที่จะ "อัพเดท" โดยใช้เหตุผลของการใช้มือถือ(ข้างต้นๆนู้น) กับผู้อื่น แต่สำหรับตนเองแล้ว เทรนด์กลับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย โดยไม่เคยรู้เลยว่ามีคนตายไปกับการตัดสินใจของคุณจริงๆ

ตัวผมเอง ผมคิดว่าโชคดีที่ถูกควบคุมการใช้งานจากผู้ปกครองเมื่อตอนอยู่ ม.5 ซึ่งได้ใช้มือถือเป็นครั้งแรก ซึ่งพ่อก็ได้ทำให้เห็นว่าเทรนด์มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตใครสมบูรณ์แบบขึ้น เพราะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ จะเป็น Nseries,BB,iphone,Galaxy หรือ 3310 ก็โทรเรียกรถพยาบาลได้เร็วเท่ากัน

Thursday, November 11, 2010

"พืชอาหาร vs พืชพลังงาน" คัดลอกมาจากหนังสือเรื่อง ราคาคือของจริง

ในการเข้าใจสิ่งต่างๆรอบตัว บ่อยครั้งที่มนุษย์ถูกครอบงำให้เข้าใจผิดด้วยสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า "Myth"
หรือความ(หลง)เชื่ออย่างผิดว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ขอยกตัวอย่างมิธบางประการดังต่อไปนี้

มิธแรก ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือการแปรเปลี่ยนพืชเป็นเอทานอล หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า พลังงานชีวภาพ
เพื่อทดแทนการใช้พลังงานฟอสซิล นั้นเป็นเรื่องที่ดี และมีใช้ได้ไม่จำกัด อีกทั้งยังช่วยเรื่องโลกร้อนได้อีกด้วย

ขอเริ่มด้วยข้อเท็จจริงว่า ถ้าเติมน้ำมันรถขนาด 2500cc ให้เต็มถังด้วยเอทานอลที่ผลิตจากธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพดหรือถั่วเหลือง ปริมาณนั้นสามารถเลี้ยงคนหนึ่งคนได้ตลอดปี!!

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำการผลิตเอทานอลโดยใช้ข้าวโพดและถั่วเหลือง มีผู้คำนวณว่าถึงแม้ร้อยเปอร์เซ็นของพืชทั้งสองที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาในแต่ล่ะปีถูกแปรเปลี่ยนเป็นเอธานอล ก็จะสามารถทดแทนการใช้น้ำมันรถยนต์ทั้งหมดในอเมริกาในแต่ล่ะปีได้เพียงร้อยล่ะยี่สิบเท่านั้น

ผู้คนจำนวนมากลืมคิดไปว่าการผลิตเอธานอลเพื่อทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่กำลังฮิตในขณะนี้กำลังทำให้โลกมีอาหารบริโภคน้อยลง รัฐมาตรีคลังของอินเดียกล่าวในการประชุมธนาคารโลกเมื่อเร็วๆนี้ว่า "เมื่อคนเป็นล้านๆคน หิวโหย การเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงานชีวภาพคือาชญากรรมทำลายมนุษยชาติ"

นอกจากนี้ยังมีการคำนวณว่าพลังงานชีวภาพที่ทำให้คน แปดร้อยล้านคนในโลกที่ใช้รถยนต์ต้องปะทะกับคนที่หิวโหยในโลก แปดร้อยล้านคน เมื่อสี่ปีก่อนมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย มินนิโซตา พยากรณ์ว่าคนยากจนในโลก(ผู้ที่มีปัจจัยสี่ไม่ครบ) จะลดลงเหลือ หกร้อยยี่สิบห้าล้านคนก่อนปี 2025 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อปี2007 นักวิจัยทีมเดียวกัน ทบทวนคำพยากรณ์อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการผลิตเอทานอล ว่าคนจนนั้นจะเป็นพันสองร้อยล้านคน ไม่ใช้ หกร้อยยี่สิบห้าล้านคนอย่าที่เคยคาดไว้

ในเรื่องพลังงา่นชีวภาพและภาวะโลกร้อน งานวิจัยพบว่าเฉพาะการผลิตเอทานอลจากอ้อยเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะลดการปล่อยCO2 ได้มากกว่า CO2 ที่เกิดจากกระบวนการผลิต (สุทธิแล้ว CO2ลดลง) สำหรับการใช้พืชอื่นๆในการผลิตแล้วพบกว่ากลับเพิ่มการปล่อย CO2 ด้วยซ้ำและทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายลง

งานวิจัยเหล่านี้ชนเปรี้ยงกับทิศทางผลิตเอธานอลของสหรัฐซึ่งใช้ข้าวโพดเป็นหลัก ซึ่งต่างจากของบราซิลที่ใช้อ้อย

ผมมิได้บอกว่าการใช้พลังงานชีวภาพเป็นสิ่งไม่ดีและไม่ควรใช้หากกำลังบอกว่าการผลิตพลังงานชีวภาพทำให้ต้องเสียสละอาหารที่ผู้คนสามารถเอาไปบริโภคได้ มันมี Trade-off หรือได้แลกกับเสีย ระหว่างอาหารและพลังงานเกิดขึ้นเสมอ เข้าหลัก "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี"




โดยบทความข้างบนนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ีงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็จะมีการกระทบต่อสมดุลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม


คัดลอกมาจาก ราคาคือของจริง(Behavioral Economics) เขียนโดย วรากรณ์ สามโกเศศ

หวัดดีค้าาบ....ผมชื่อนิวครับ :)





:) สวัสดีครับ ผมชื่อ นิว นี่เป็นชื่อเล่นนะครับ มาจาก Neutron เวลาเขียนเป็นภาษาอังกฤษเลยเขียน Neu ไม่ใช่ New ซึ่งคนมักเขียนผิดเสมอๆ พอดีว่าพ่อผมเรียนมาทางฟิสิกส์แล้วก็ทำ thesis ตอนปริญญาโทเกี่ยวกับ รังสีแกมม่า (Gamma) และอนุภาค นิวตรอน (Neutron) ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อเล่นของลูกสาวและลูกชายครับ

ผมเป็นคนสงขลาครับ (อยู่ภาคใต้หากใครนึกไม่ออก) ตอนนี้กำลังดังเลยครับเรื่องน้ำท่วม หลายคนมักบอกว่าหน้าตาผมก็บ่งบอกยี่ห้อว่าเป็นคนใต้อยู่มากเหมือนกัน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผมก็ภูมิใจและดีใจที่เป็นคนใต้เพราะว่า มีภาษาที่สามเป็นความสามารถพิเศษตั้งแต่เด็กๆ (ภาษาใต้) โดยไม่ต้องไปเรียน British counsil หรือ wallstreet ให้เปลืองตังค์ (๕๕๕๕)

เรียนอยู่ที่สงขลาได้พอสมควรก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนม.ปลายที่ศาลายา ชีวิตเปลี่ยนเลยแหละครับ ออกจากบ้านครั้งแรก อยู่หอพักตลอด ได้ทุนเรียนแถมเรียนหนักโคตร แล้วก็มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ก็เลยมีประสบการณ์หลากรสชาติให้ได้ลิ้มชิมลองอยู่มากในช่วงวัยพายุบุแคม นับได้ว่าผลพวงจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ในตอนนั้นยังคงมีกลิ่นอายมาจนถึงทุกวันนี้

ด้วยความที่คุ้นเคยกับศาลายา และ ศาลายาสโตร์ กับ ประตูสาม เป็นอย่างดีตอนม.ปลาย ก็เลยเลือกเรียนที่คณะวิทย์ มหิดล แล้วก็ตั้งใจว่าจะเลือกเรียนภาคชีวะเพราะว่า ตอนเอ็นท์สะท้าน เลือกหมอแต่ไม่ติดเลยเรียนชีวะหล่ะกาน ยังไงก็อยู่ในสายความรู้นี้ แล้วก็ชอบด้วย (รึป่าว ? อิอิ)

และแล้วก็เกิดจุดพลิกผันทางความฝันอีกครั้ง เมื่อได้ไปงาน open house ที่คณะวิทย์ พญาไท ตอนปี 1 แล้วเข้าไปดูที่หลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์ เพิ่งรู้ว่ามีป.โทด้วย แถมเรียนไบโอมาแล้วก็ต่อได้ เลยตั้งใจว่าจบตรีแล้วจะต่อโทอันนี้แหละ เพราะก็ชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่ม.ต้น ชอบไปดูผ่าศพเวลามีงาน open house ที่มอ.หาดใหญ่ แล้วก็ชอบอาจารย์หมอพรทิพย์ สุดท้ายเลยได้เรียนอยู่ ณ ตอนนี้

ดูเหมือนว่าชีวิตจะราบรื่น มาตามขั้นตอน เป็น step ไม่มีอะไรยากเนอะ.... ป่าวเลยย !!! หลายๆ ช่วงก็ไม่ง่าย งงๆ ก่ง ก๊ง อยู่เหมือนกัน แต่ก็ผ่านมาได้และผ่านมาแล้ว จนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้เก่งอะไรหรอกนะครับ แต่มันก็ผ่านมาตามกาลเวลา ตามเรื่องตามราวของมัน ได้เลือก ได้ทำ ได้ตัดสินใจ ในแบบนั้นแบบนี้ไป ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ผลที่ตามมามันก็เห็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้


และแล้วตอนปี 3 ก็ได้เรียน NREM ครับ ได้เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงตอนนี้ เรียกว่าได้ว่า เป็นประสบการณ์ที่สุโค่ยยย ต้องเล่าให้ลูกให้หลานฟังเป็นนิทานก่อนนอนเลยทีเดียว ด้วยการเรียนรู้แบบนี้ ทำให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เข้าไปตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้น เข้าไปตั้งคำถามกับความฝันเรื่องเรียนต่อโทนิติวิทย์ ซึ่งเป็นฝันเพียงหนึ่งเดียวของผม เข้าไปตั้งคำถามกับตัวเองจริงๆ ว่า ชีวิตนี้จะทำอะไร แถมได้รู้ด้วยว่า มันมีทางอื่นด้วยนะ นอกจากเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก ทางอื่นแบบทางอื่นที่สัมผัสได้จริงๆ นะ ไม่ใช่ทางอื่นแบบที่ดูรายการสัมภาษณ์ชีวิตคน คนสู้ชีวิต ทั้งหลาย ที่ผมอินแต่ไม่เคยคิดว่าจะไปทำจริงๆ หรือไม่เคยกลัวที่จะเลือกเพราะตอนนั้นผมก็วาดฝันไว้ไกลๆ ว่าซักวันคงได้ใช้ชีวิตแบบนั้น แต่ไม่คิดว่าพอมันรู้สึกจริงๆ อย่างที่เล่านี้ แล้วก็เลือกได้ตอนจบตรีเนี่ย ความกลัวที่จะไปเลือกมันถึงได้มากเหลือเกิน....


ผมเพิ่งมาเอ่ะใจเมื่อเร็วนี้เองว่า บางทีไอ้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตอนเด็กๆ หรือเรื่องที่เราไม่สบายใจนี่มันโคตรจะสำคัญและส่งผลมาถึงตอนนี้เลย เพราะก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเรื่องสำคัญที่สุดก็ต้องเป็นเรื่องเรียน ไม่ได้บ้าเรียนมากนักนะ แต่พอถึงเอาเข้าจริงตอนตัดสินใจสำคัญก็เลือกเรื่องเรียนก่อนทุกที แล้วผมก็คิดว่าเรื่องอื่นๆ เป็นฉากประกอบชีวิต แต่พอมานั่งนึกๆ ดู เราจำเรื่องฉากประกอบชีวิตนี้ได้ดีกว่า ข้อสอบตอนสอบเข้าม.ต้นหรือม.ปลายซะอีก....อิอิ


หวังว่าอ่านแล้วคงได้รู้จักกันมากขึ้นนะ แล้วเดี๋ยวเราไปรู้จักกันมากขึ้นอีกในการเดินทางต่อจากนี้นะครับ



นิว :)

แนะนำตัว ป๊อก ป๊อก...


ชื่อ...ศุภกิจ พัฒนพิฑูรย์
ชื่อเล่น (จริงๆ) ...ฮัลเลย์
ชื่อเล่น (เล่นๆ) ...ที่ผ่านมามีคนเคยเรียกกระพ้มด้วยชื่ออื่นๆ มากมาย เช่น โอเล่ โชเล่ (ตลกที่หัวเราะปากกว้างๆ อ่า) ดาวหาง ฮัลลู่ ฮัลเลลูย่าห์ (ชื่อนี้นิยมมากช่วง Christmas) ฮัลเลลูโกะ ฮัลลี่ ฮันนี่
ส่วนเพื่อนชาวต่างชาติ พอบอกว่า สะกดว่า Halley จะออกเสียงว่า ฮ๊อลลล-ลีื (ซึ่ง Pronunciation จริงๆ ของ Halley ก็ออกเสียงประมาณนั้น)
ยังไม่พอๆ อ.สอนวิชา Social Science ตอนม.ปลาย (ไม่ใช่วิชาสังคมศึกษาด้วยนะ พอดีเรียน Bilingual น่ะ คริคริ) เคยเรียกว่า Super-package ซึ่งเพี้ยนมาจาก Supakij ด้วยล่ะ หึหึ
วันเกิด ...วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2529 เกิดปีเดียวกับที่ดาวหางฮัลเลย์มาเยี่ยมโลกพอดี
หมู่เลือด ...B แบบ Heterozygous (สาวกรุ๊ป A กะ B ไม่แท้ และ O ที่อยากได้ลูกกรุ๊ป O ติดต่อมาได้นะครับ)

พื้นฐานครอบครัว
เกิดจากหมันหลุด!!! --- อันนี้ไม่คอนเฟิร์ม แต่มีญาติห่างๆ เล่าให้ฟังว่า เกิดมาเพราะพ่อหมันหลุด (เป็นอุทาหรณ์นะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อไปทำ "ท่า" ไหน ช่วงธันวา-มกราปี 2528-29 สงสัยจะหนาวใช่ย่อย) ถ้าคิดแบบในละครหลังข่าวก็ เป็นลูกที่เกิดมาจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่นั่นแล
เป็นลูกชายคนเล็ก (แต่ตัวโตที่สุด) ของบ้าน --- มีพี่ชายสองคน เกิดมาด้วยน้ำหนัก 4700 กรัม
แถมยังเป็นลูกหลง --- เสียใจด้วยสำหรับสาวโสด พี่ผมมีภรรยาหมดแล้ว พี่ชายคนโตมีลูกจนจะเข้าป.1 ในอีกปีสองปีข้างหน้านี้ ห่างจากพี่คนโต 17 ปี คนกลาง 15 ปี
มีพี่โตๆ แถมพอมีกะตังค์แล้วก็ดีอย่างเสียอย่าง
ช่วงที่เริ่มเข้าวัยสะรุ่นกับช่วงวัยรุ่นตอนต้นนี่รู้สึกเหงาๆ ในบ้านเหมือนกันนะ ช่วงนั้นในบ้านไม่มีใครสร้างความไว้ใจให้เราเข้าไปปรึกษาได้เลย มีพี่ก็ต้องเกรงใจ เชื่อฝั่งคำสั่ง เถียงไม่ได้ เพราะโตแล้ว แถมคนละ Generation (Gen X กะ Gen Y ว่างั้น) เพื่อนๆ ที่มีพี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันนี่ แทบจะเล่นหัวกันได้เลยทีเดียว แอบอิจฉาอยู่เหมือนกัน ส่วนกับแม่ก็ยิ่งเนิ่นนานยิ่งไม่สนิทรู้สึกว่าอะไรๆ แม่ก็จุ๊กจิ๊กขัดใจไปเสียหมด ขี้บ่น ทำดีไม่เคยชม แต่พอพลาดหน่อยล่ะก็ว่าซะไม่มีดี (เข้าใจแหละว่าแม่ก็รักก็ห่วงตามแบบของแม่ แต่ก็นะ) ที่ช่วงนี้ไว้ผมยาว ไม่โกนหนวดเครา ก็เพราะประชดแม่เนี่ยล่ะครับ
ข้อดีของการมีพี่ที่มีตังค์แล้วคือ พี่พาไปกินบ่อยมว๊ากกกกก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแบบ Buffet เสียด้วยซี พวกอาหารการกินเท่าที่ผู้ถือครองพอมีกะตังค์กินได้แถมทำลาย+ทำร้ายโลกมากมายก็ฟาดมาหมดแล้ว หูฉลามเอย Foie gras เอย ขาก่งขาแกะ เนื้อ US งี้ ข้อดีอีกอย่างคือ ให้อั่งเปาหนักมาก $*v*$
แถมยังกำพร้าพ่อ --- เป็นคนเอาใบหย่าของพ่อแม่ไปถ่ายเอกสารตอนราวๆ 6 ขวบ แล้วก็ป่าวประกาศไปทั่วร้านว่า เนี่ย ใบหย่าแหละ กลับมาบ้านโดนแม่ว่าอีกว่าไม่ควรเอาไปพูด (เอ๋า แล้วฉานจะรู้หมายยย) จำได้ว่าพ่อแม่เคยทะเลาะกันใหญ่ๆ ครั้งนึง ที่เหลือก็คงมีบ้างอะไรบ้าง แต่จำไม่ได้อะ จำหน้าพ่อได้ เจ็บแปล๊บๆ ทุกทีที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังว่า เพื่อนที่เป็นผู้ชายสนิทกับพ่อยังไง
แถมยังเคยถูกเอาไปเลี้ยงเพื่อให้เพื่อนแม่มีลูกอิจฉาอีกด้วย --- สมัยโน้นแม่มีเพื่อนบ้านที่แต่งงานกันมาหลายปีแต่ไม่มีลูก เค้าก็เอาผมไปเลี้ยง (ผมจำได้เลาๆ ว่าเคยเล่นกับตุ๊กตาโดราเอมอน แต่ที่บ้านไม่ยักมี) ไม่รู้ผมไปช่วยโด๊ปให้คู่สามีภรรยาเขาได้ด้วยหรือไร วันที่ 30 สิงหา 2530 เค้าก็คลอดลูกสาวออกมา *-* ชื่อเล่นชื่อ น้องปอย (แต่ไม่ได้ใช้ G net นะฮ้าาา) ถัดจากนั้นมาก็เล่นด้วยกัน เป็นแฟนกัน (อร๊ายย เขิลล์) จริงๆ นะ (ฮา) ตอนนั้นถ้าไปถามน้องปอยเป็นแฟนใคร ก็แฟนเฮียเล่ ฮัลเลย์เป็นแฟนใคร ก็แฟนน้องปอย
แต่สงสัยไม่ได้เป็นเนื้อคู่กัน ไม่นานน้องปอยก็ย้ายบ้านไปบางนา แล้วก็ติดต่อกันน้อยลง ("แฟนฉัน" โคตรๆ) ที่ผ่านมาก็ไปถ่ายรูปรับปริญญาด้วยกัน แล้วก็ได้ใช้ Facebook ติดต่อกันบ้างอะไรบ้าง

ชอบ...
สีฟ้า น้ำเงินหม่นๆ --- ประมาณนี้ เลย ดูแล้วสบายตา สบายใจ สีเหมือนกับผิวน้ำทะเลลึก เคยใส่เสื้อยืด+กางเกงสามส่วนสีกรม+รองเท้าสีน้ำเงินเดินกับเพื่อน จนเพื่อนให้ฉายาว่า "Mister big black blue"
กัดเล็บ --- เป็นพฤติกรรมเลียนแบบพี่คนโต เห็นพี่กัดตั้งแต่เด็กแล้ว (คือตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้ว) ก็ทำตาม ตอนนี้ใช้เล็บเป็นเครื่องเตือนสติ ช่วงไหนมีวินัยในการฝึก (ฝึกไม่กัดเล็บ ฝึกรู้อากับกิริยาตอนกัดเล็บ) เล็บก็สวยงามดี แต่ถ้าช่วงไหนปล่อยยาวให้เผลอบ่อยก็กัดซะเหี้ยน
อ่านการ์ตูน --- พื้นเพทางบ้านขายหนังสือพิมพ์+หนังสือการ์ตูนมาก่อน ก็เลยอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เพิ่งมาใช้ศัพท์แสงของชาวยุ่นก็เมื่อไม่นานมานี้ ส่วนหนังสือพิมพ์ ช่วงม.ต้นตามอ่านเสพสมบ่มิสมของเดลินิวส์แทบทุกวัน หลังๆ อาศัยเข้ากระทู้เรทห้องสวนลุมแทน :p
อยู่ท่ามกลางคนรู้จัก คนที่สนิท ทำให้คนมีความสุข ได้ดูแลคนที่อยากดูแล --- ชอบดูแลคนอื่น โดยเฉพาะคนที่แคร์ รู้สึกดีถึงดีมากทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ และมีค่าสำหรับคนอื่น แบบว่า ถึงขั้น ขาดไม่ได้ มีความสุขมากที่ได้ให้อะไรบางอย่างในสิ่งที่อยากให้ (ไม่เฉพาะแค่สิ่งของ รวมถึงการกระทำด้วย) กับคนที่ต้องการ และสุขมากขึ้นไปอีกถ้าได้รู้จากไม่ทางใดก็ทางหนึ่งว่า คนที่ได้รับน่ะ เค้ามีความสุขและดีใจที่ได้รับไป ออกแนวให้แบบหวังผลนิสนุง ทำให้เวลารู้สึกว่าตัวเอง "สะเหร่อ" หรือ "ยัดเยียด" ไปให้ในสิ่งที่คนเค้าไม่ต้องการ ก็รู้สึกแย่กันไป รวมถึงเวลาที่้ต้องอยู่คนเดียวนานๆ ก็จิตตกได้ค่อนข้างง่าย เพราะจะได้รับพลังจากการได้พบปะพูดคุยรวมถึงเข้าไปดูแลชาวบ้าน พออยู่คนเดียวก็เหมือนไม่ได้ชาร์จแบต
เวทย์มนตร์ --- ไม่ใช่มายากลนะ แต่หมายถึงเวทย์มนตร์ในการ์ตูน หรือในเกมแนว Final Fantasy ทั้งหลายน่ะ จริงๆ ถ้าถามว่า อาีชีพในฝันคืออะไร จะตอบว่า จอมเวทย์มนต์ดำ (Black mage) ไม่ก็ ผู้ใช้สัตว์อสูร (Summoner) ... หึหึ ในฝันจริงๆ ด้วยสินะ~



อะไรอีกดีล่ะ...
อยากรู้อะไรเพิ่มมั้ย? ถามมาเรย (แต่ไมยืนยันว่าจะได้รับคำตอบนะ :p)

มือถือเครื่องใหม่

1,222,245,200,000คือ ยอดขายโทรศัพท์มือถือในปี 2551
จากสถิติ ของ Worldwatch institute ระบุว่า
ระยะเวลาเฉลี่ยในการใช้โทรศัพย์มือถือ 1 เครื่อง
ในปัจจุบันมีอยู่ราว 14 เดือน ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องใหม่
นับว่าน้อยกว่าอายุการใช้งานจริงที่ควรจะเป็น

ทั้งๆที่มือถือยุคใหม่ไม่ได้ทำอะไรออกมาสนองความต้องการมากนัก
และระยะเวลาในการใช้งานอาจจะน้อยเกินไปกว่านั้น
ในกลุ่มผู้ใช้มือถือที่เห็นเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมความมั่นใจ
เปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในเทรนด์
และได้ของที่ฉลาดสุดๆอยู่ในมือ

แต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังความพอใจที่ได้อินเทรนด์นี้
ยอดขายหลายล้านๆเครื่องในแต่ละปี หมายถึง น้ำตา ฝันร้าย
และความตายของชาวคองโกนับล้านชีวิต
นี่ยังไม่นับรวมการฆาตกรรมหมู่ในป่าลึก,
ความตายของกอริลล่ายักษ์ที่อาจเหลือฝูงสุดท้ายในรวันดา

ตัวเชื่อมที่ทำให้มือถือโยงไปถึงสงครามร้ายแรงที่สุด
ในประวัติศาสตร์แอฟริกาคือ โคลัมไบต์-แทนทาไลต์
หรือแร่โคลแทนที่พบมากในแอฟริกากลาง,แน่นอน...ในคองโก

เพราะการลักลอบทำเหมืองและส่งออกโคลแทน
กลายเป็นแหล่งหารายได้ที่เติมเชื้อไฟให้กับAfrican World War
ในจำนวนประเทศทั้ง8 ที่ติดหล่มสงคราม
และกองกำลังติดอาวุธกว่า20กลุ่ม
หลายกลุ่มหาผลประโยชน์จากพื้นที่คองโก
ที่ประเมินว่ามีแร่โคลแทนมากถึง 80% ของปริมาณโคลแทนในโลก
การดิจิไทซ์โลก ถนนทุกสายจึงมุ่งไปที่พื้นดินของคองโก
กองกำลังประชาธิปไตย กลุ่มปลดปล่อยรวันดาหรือ FDLR
ที่มีชาวฮูตูเป็นแกนนำ เป็นตัวอย่างที่เห็นชัด
ของการทำเหมืองแร่ในคองโกอย่างผิดกฏหมาย
แม้จะต้องเสี่ยงจากการถูกปราบปรามจากรัฐบาลคองโก
แต่FDLR และอีกหลายกลุ่ม
ก็เห็นว่ามันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าอยู่ดี
เพราะแทนทาลัมเพียง 1 ปอนด์ทำเงินร่วม หมื่นบาท
แทนทาลัม 1 ปอนด์ เป็นได้ทั้งตัวเก็บประจุในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่
และแปลงเป็น AK-47 พร้อมกระสุนให้กับกองกำลังติดอาวุธ
หน่ำซ้ำในกระบวนการร่อนแร่หาโคลแทน
แรงงานที่ถูกบังคับให้ทำเยี่ยงทาส ก็คือเด็กๆคองโกลีส
ซึ่งองค์การสหประชาชาติรายงานว่า ในบางพื้นที่ของคองโก
ในเด็ก 100 คนจะมี 30 คน ที่ต้องใช้เวลาทั้งวัน
ไปกับการแยกโคลแทนออกจากเศษหินอื่นๆ
เงินค่าจ้างไม่ถึง 35 บาท ต่อการหาโคลแทนให้ได้ 1 ปอนด์

เรื่องมือถือเปื้อนเลือดถูกพูดถึงเมื่อหลายปีก่อน
บริษัทระดับโลกอย่าง Nokia,Ericsson,Moto,Acer ,Compaq
ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่า โคลแทนที่ใช้ในการผลิตของตน
ไม่ได้มาจากคองโก แต่มีซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้หามาให้
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บอกได้ว่า
แทนทาลัมในมือถือที่พกติดตัวจนกลายเป็นอวัยวะที่33
นั้นมาจากคองโกหรือเปล่า
การตรวจสอบเส้นทางของแทนทาลัมนั้น
ต่อให้ใช้วิธีตามไปดูถึงที่แบบกบนอกกะลา

ก็ยังไม่สามารถบอกที่มาได้
โคลแทนได้ถูกลักลอบเอาออกนอกคองโก
เข้าสู่ตลาดมืด และขายทอดต่อไปเรื่อยอีกอย่างน้อย 10 ทอด
กว่าจะไปถึงผู้จัดหารายใหญ่ ที่บริษัทบิ๊กๆเลือกเป็นคู่ค้า
ความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้วัตถุดิบ
มารองรับความต้องการการซื้อมือถือในตลาดโลก
นอกจากจะมีส่วนสร้างประวัติศาสตร์เลือดให้กับอัฟริกาแล้ว
ยังส่งผลร้ายต่อสัตว์ป่าด้วย สัตวป่าน้อยใหญ่ กอริล่า และช้างป่านับพัน ถูกฆ่าจากการโดนบุกรุกของมนุษย์เพื่อหาโคลแทน


เพราะในพื้นที่ๆขุดหาโคลแทน มันคือบ้านของ กอริลล่าภูเขา
ที่เหลืออยู่บนโลกนี้ไม่กี่ร้อยตัว
สัตว์ร่วมวงศ์กับมนุษย์ ที่แสนจะขี้อาย สุภาพ
ไม่เพียงถูกเหมืองคุกคามถิ่นที่อยู่
พวกทำเหมืองยังล่าพวกมันเอาหัว บางทีก็ชำแหละนำเนื้อมากินด้วย

สวนสัตว์ในแอฟริกาหลายแห่ง รณรงค์การรีไซเคิลมือถือ
เพื่อลดอัตราการใช้โคลแทนในการผลิตมือถือใหม่
ด้วยหลังจะชะลอการสูญพันธุ์ของกอริลล่าภูเขาในคองโกได้บ้าง

แต่ดูเหมือนไม่ทันต่ออัตราการเติบโต
ของอุปกรณ์ที่เป็น “มากกว่าใช้พูด” แต่ส่วนใหญ่”ก็ใช้แค่พูด”เท่านั้น
ในทวีปแอฟริกาเอง พิษภัยจากมือถือคุกคามชีวิตและทรัพยากรตัวเอง
แต่อัตราการใช้มือถือก็เพิ่มขึ้น 1000%

เช่นเดียวกับจำนวนคนบริสุทธิ์ที่ล้มตายลง
ในสงครามกลางเมืองคองโก ประมาณการณ์กันว่า
นับแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปียุติสงครามอย่างเป็นทางการ
ยังมีผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงรูปแบบต่างๆถึงเดือนละ 45,000คน
หรือปีละ 540,000
คน ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึง
ผู้หญิงหลายหมื่นที่ถูกทารุณทางเพศ

ของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เพียงแต่พวกเธอยังไม่ตาย

1,222,245,200,000 กับ 540,000 อาจมีหน่วยนับต่างกัน
แต่อัตราการขยายตัวกลับแปรตามกันอย่างน่ากลัว
ถ้าความอินเทรนด์ของคุณ นำมาซึ่งตัวเลขที่มีหน่วยศพเพิ่มมากขึ้น
คุณยังอยากเปลี่ยนมือถือทัชสกรีนมาใช้เล่นอีกสักเครื่องไหม ...!?!


ปล. มีคนบนโลกไม่ถึง 5 % ด้วยซ้ำไปที่ใช้ option ของมือถือครบ ทั้ง 108!! ดังนั้นในฐานะมนุษย์ด้วยกันกรุณาอย่ามองว่ามันไม่ใช่ปัญหาส่วนตน เราได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ได่มีโอกาสเลือกสิ่งดีๆใช้แล้ว ช่วยกันแบ่งปันโอกาสเหล่านี้ให้เพื่อนร่วมโลกด้วยเถิด............

Wednesday, November 10, 2010

จุดจบของเขื่อนเอลวาห์กับขบวนการฟื้นชีวิตให้สายน้ำและพงไพร | โอเพ่นออนไลน์

จุดจบของเขื่อนเอลวาห์กับขบวนการฟื้นชีวิตให้สายน้ำและพงไพร | โอเพ่นออนไลน์

จุดจบของเขื่อนเอลวาห์กับขบวนการฟื้นชีวิตให้สายน้ำและพงไพร

“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วครับที่เราจะได้เห็นเขื่อนเอลวาห์ อีกไม่นานแม่น้ำสายนี้จะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้งในรอบร้อยปี”

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติโอลิมปิกที่ผมมีโอกาสไปคุยด้วยเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมากล่าวอย่างตื่นเต้น

หลังวางแผนและเตรียมการมากว่าสิบปี ภายในฤดูร้อนปีหน้าก็ถึงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะดำเนินการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่สองเขื่อนที่ขวางกั้นแม่น้ำเอลวาห์ออกเพื่อฟื้นฟูประชากรปลาแซลมอนและระบบนิเวศป่าฝนเขตอบอุ่นภายในอุทยานแห่งชาติโอลิมปิก โครงการนี้นับเป็นโครงการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและ นับเป็นโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งเท่าที่เคยมีมา

แม่น้ำเอลวาห์ซึ่งไหลลัดเลาะจากเทือกเขาโอลิกปิกผ่านป่าฝนเขียวขจีและหมู่ไม้ขนาดยักษ์ไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันตกของรัฐวอชิงตันเคยเป็นแหล่งวางไข่ปลาแซลมอนที่สำคัญที่สุดของประเทศนอกเขตอะแลสก้า ทุกปีปลาแซลมอนโคโฮ พิงค์ ชัม ซ็อคอายและชิกนุก นับหมื่นนับแสนตัวจะพากันว่ายทวนน้ำเพื่อขึ้นไปวางไข่ปริมาณมหาศาลบริเวณต้นลำธาร วงจร ชีวิตของปลาแซลมอนเหล่านี้เป็นห่วงโซ่อาหารสำคัญต่อสัตว์ป่ามากมายในระบบนิเวศ และค้ำจุนวิถีชีวิตของชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองเผ่าเอลวาห์คลาลัมที่อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำเอลวาห์มาช้านาน

แต่ราวหน่ึงร้อยปีก่อนฉากชีวิตดังกล่าวก็เปลี่ยนไป เมื่อนักธุรกิจนามโธมัส อัลด์เวลล์ เสนอให้สร้างเข่ือนกั้นแม่น้ำเอลวาห์ในป่าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เขาก่อตั้งบริษัทโอลิมปิกพาวเวอร์ขึ้นด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากนักลงทุนในชิคาโก ในปีค.ศ.1913 เขื่อนเอลวาห์ก็สร้างเสร็จและเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าส่งให้กับโรงงานเยื่อกระดาษในเมืองพอร์ตแองเจลลิสที่อยู่ไม่ไกล เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเวลานั้นทำให้มีการสร้างเขื่อนเหนือต้นน้ำขึ้นไปอีกแห่งหนึ่งในปีค.ศ.1928 แม้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนทั้งสองมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคในเวลานั้นก็จริง แต่ก็ได้ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหลายด้านไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าฝนที่ถูกตัดโค่น ตะกอนปริมาณมหาศาลที่ถูกกักอยู่เหนือเขื่อนจนเกิดปัญหาการกัดเซาะตลิ่ง และที่สำคัญก็คือการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วของเหล่าปลาแซลมอนและปลาชนิดอื่นๆที่ต้องว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่

ในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน รูสเวลส์ พื้นที่ป่าฝนที่ยังอุดมสมบูรณ์แถบเทือกเขาโอลิมปิกก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี1938 และได้มีการขยายเขตครอบคลุมพื้นที่เขื่อนทั้งสองอีกด้วยในเวลาต่อมา สองสามทศวรรษหลังจากนั้นผลพวงจากการพัฒนาที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมเริ่มปรากฎชัดขึ้นทั่วไป ขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งในระดับประเทศและในระดับท้องถิ่นจึงเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มมีการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมที่แท้จริงของเขื่อนเอลวาห์

เมื่อกระแสการอนุรักษ์สุกงอม ช่วงปีค.ศ.1986-88 กลุ่มองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติเช่น กลุ่มเพื่อนอุทยานโอลิมปิก ‘Seattle Audubon Society’ ‘Friend of the Earth’ และ ‘The Sierra Club’ ร่วมกับกลุ่มชนพื้นเมืองได้ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อต้านการยื่นขอต่ออายุการดำเนินกิจการของเขื่อนทั้งสองในเขตอุทยานแห่งชาติ การรณรงค์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะอย่างกว้างขวางจนนำไปสู่การยื่นญัตติต่อรัฐบาลกลางให้มีการฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำเอลวาห์อย่างจริงจังพร้อมกับเสนอให้ทำการรื้อเขื่อนทั้งสองทิ้ง

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อและนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย จนท้ายที่สุดรัฐบาลกลางต้องลงมาไกล่เกลี่ยและเสนอทางออกด้วยการผ่านพระราชบัญญัติฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำเอลวาห์และการประมงในปีค.ศ.1992 พระราชบัญญัติดังกล่าวมอบอำนาจให้กับคณะกรรมการศึกษาสามารถสั่งรื้อเขื่อนได้หากมีความจำเป็น สองปีต่อมารายงานชิ้นสำคัญจากคณะกรรมอิสระที่รู้จักกันว่า Elwah Report ก็สรุปผลชัดเจนว่าการรื้อเขื่อนทิ้งเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำเอลวาห์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะการฟื้นฟูประชากรปลาแซลมอนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิถีชีวิตชาวประมงท้องถิ่น โดยคาดว่าประชากรปลาแซลมอนที่เหลืออยู่เพียง 3,000 ตัวจะสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 300,000 ตัวได้อีกครั้งเมื่อแม่น้ำเอลวาห์ปลอดเขื่อน

นักนิเวศวิทยาเชื่อว่าการกลับคืนมาของปลาแซลมอนเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูความอุดสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้ เพราะจากการศึกษาพบว่าวงจรชีวิตของปลาแซลมอนช่วยค้ำจุนสัตว์ป่าอื่นๆอย่างน้อยถึง137ชนิด ตั้งแต่นกมุดน้ำไปจนถึงนกอินทรีหัวขาวและหมีดำ ยังไม่ต้องพูดถึงแมลงน้ำและปลาน้ำจืดมากมาย รวมทั้งหมู่ไม้สองฟากฝั่งที่พลอยได้อาศัยแร่ธาตุหมุนเวียนจำนวนมหาศาลจากบรรดาปลาท้องโตที่นำติดตัวมาด้วยจากท้องทะเล ไม่เพียงระบบนิเวศเท่านั้นที่จะได้รับการฟื้นฟู หากแต่มรดกทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเผ่าเอลวาห์คลาลัมสองฟากฝั่งแม่น้ำก็จะได้รับการทำนุบำรุงขึ้นอีกครั้ง เช่นการฟื้นฟูป่าศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งที่ปัจจุบันจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำ และการรื้อฟื้นขนบธรรมเนียมที่ผูกพันกับฤดูวางไข่ของปลาแซลมอน

แม้จะมีบทสรุปออกมาอย่างชัดเจนว่าจำเป็นต้องรื้อเขื่อนทิ้ง แต่ขั้นตอนในการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมาสำนักอุทยานแห่งชาติทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับชนพื้นเมืองและหน่วยงานชลประทาน เพื่อออกแบบเส้นทางผันน้ำ ก่อสร้างโรงบำบัดน้ำ และสร้างฝายป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวซึ่งหมดงบประมาณไปกว่าห้าพันล้านบาท นอกจากนี้งบประมาณไปอีกไม่น้อยก็ถูกใช้ไปในการศึกษาและวางแผนการฟื้นฟูระบบนิเวศระยะยาว

เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขื่อนถูกรื้อออกไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การเกิดใหม่ของแม่น้ำเอลวาห์จะช่วยให้ตะกอนจากยอดเขาสามารถไหลเคลื่อนไปเติมความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำเบื้องล่างรวมทั้งที่ลุ่มปากแม่น้ำอย่างที่คาดไว้หรือไม่ ประชากรปลาแซลมอนนับหมื่นนับแสนจะหวนคืนกลับไปวางไข่ในสายน้ำเอลวาห์ที่ถูกตัดขาดไปร่วมร้อยปีได้หรือเปล่า

เหล่านี้เป็นคำถามที่ทุกคนเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ แต่ที่แน่ๆ จุดจบของเขื่อนเอลวาห์นับเป็นประวัติศาสตร์สำคัญหน้าหนึ่งของขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นชัยชนะของกลุ่มนักอนุรักษ์ที่สู้ไม่ถอยและสามารถผลักดันจนกระทั่งแนวคิดเรื่องการฟื้นฟูระบบนิเวศกลายเป็นวาระแห่งชาติ นอกจากนี้ก็ยังเป็นบทเรียนสำคัญให้แก่พื้นที่อื่นๆด้วยว่า แม้การอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงความสมบูรณ์ไว้นั้นจะเป็นเรื่องยาก แต่การฟ้ืนฟูธรรมชาติที่เสียสมดุลไปแล้วนั้นยิ่งเป็นเรื่องยากกว่า ทั้งยังต้องใช้งบประมาณและเวลามากกว่ามาก

เจ้าหน้าที่อุทยานสูงอายุท่านหนึ่งบอกกับผมก่อนกลับว่าการรื้อเขื่อนเอลวาห์ถือเป็นของขวัญที่คนรุ่นเขามอบให้กับคนรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ถึงวันที่แม่น้ำเอลวาห์และพงไพรแถบนี้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์มาได้ดังเดิม แต่เขาเชื่ออยู่อย่างว่า ในเรื่องของการอนุรักษ์นั้นไม่มีคำว่าสายเกินไป…หากเราเริ่มลงมือทำ

“The best time to plant a tree was 20 years ago, the second best time is now” - Old Chinese proverb

“เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือเมื่อ20ปีที่แล้ว เวลาที่ดีที่สุดรองลงมาก็คือตอนนี้” - สุภาษิตจีนโบราณ

Tuesday, November 9, 2010

365 เหตผลที่ไม่ควรจำนนต่อพลังงานนิวเคลียร์ | Greenpeace Thailand

365 เหตผลที่ไม่ควรจำนนต่อพลังงานนิวเคลียร์ | Greenpeace Thailand

กรีนพีซท้วงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับล่าสุดที่เสนอให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5โรง ว่า "มีราคาแพง และเสี่ยงต่อชีวิต" พร้อมเรียกร้องให้ปิดสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โดยด่วน

กรีนพีซร่วมกับชุมชนจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีแสดงข้อเรียกร้องดังกล่าวในการแถลงข่าวเปิดตัวปฏิทิน "365 เหตุผลที่ไม่ควรจำนนต่อพลังงานนิวเคลียร์" (2) ซึ่งกรีนพีซได้รวบรวมอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในแต่ละวันจากความผิดพลาดของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทั่วโลกมาบรรจุไว้

จุดเริ่มต้นคือความปรารถนาที่จะทำลาย แรงผลักสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์คือการใช้ประโยชน์จากระเบิดที่มีศักยภาพในการทำลายสูง ความตายและการทำลายควบคู่ไปด้วยกันไม่เพียงแต่ระเบิดนิวเคลียร์เมื่อครั้งฮิโรชิมาและนางาซากิ แต่ยังรวมถึงการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในเชิงพาณิชย์อีกด้วย เทคโนโลยีนี้ไม่สามารถควบคุมได้ อุบัติภัยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พิสูจน์ถึงลักษณะในทางทำลายของมัน ทุกๆ ครั้งที่ไฟไหม้สายไฟ ทุกๆครั้งที่ท่อมีรอยร้าว สามารถเปลี่ยนให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลายเป็นฝันร้ายของนิวเคลียร์ เป็นคำถามเรื่องเวลาก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ แล้วในที่สุดมันก็เกิดขึ้น เมื่อเวลา 1 นาฬิกา 23 นาที ของวันที่ 26 เมษายน 2529

ต่างจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมา การระเบิดที่หน่วยที่ 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิลเกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แต่มันแลกมาด้วยราคาแสนแพง การใช้พลังงานนิวเคลียร์หมายถึงความเสี่ยงภัยคุกคามถึงชีวิตที่ต้องทนรับ ปิดปากเงียบไว้หรือลืมมันไป แต่นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เคยกล่าวว่า “คนเจ็ดล้านคนไม่มีอะไรที่ทำให้เขาลืมเชอร์โนบิลได้” คนเจ็ดล้านคนทั้งหญิง ชายและเด็กที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันจากผลกระทบของหายนะภัย และยากที่จะรู้จักชื่อของพวกเขา แม้กระทั่งแฟ้มประวัติผู้ป่วยก็เพียงลงทะเบียนไว้เป็นตัวเลข ‘แฟ้มประวัติหมายเลข 000358/’ คือหมายเลขของแอนย่า เปเซนโก คนนับไม่ถ้วนในจำนวน 860,000 คน ที่เสี่ยงชีวิตของตนเองโดยใช้วิธีการดั้งเดิมเพื่อพยายามจำกัดขอบเขตของความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนั้นและอีกหลายสัปดาห์หลังจากนั้น ก็ยังคงทนทุกข์ทรมานอยู่ คนนับแสนที่ต้องละทิ้งบ้านเรือนของตนภายในนาทีต่อนาที เหมือนกับผู้ลี้ภัยสงคราม เพื่อรักษาชีวิตของตน ก็ยังคงทนทุกข์ทรมานอยู่ คนที่ไม่มีทางเลือกแต่ต้องทนอยู่ในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนรังสีในระดับสูงของเบลารุส ยูเครนและรัสเซีย ก็กำลังทนทุกข์ทรมาน

คนที่อยู่โรงพยาบาลโรคมะเร็งในเมืองเคียพ (Kiev) นั่งอยู่บริเวณทางเดินเพื่อรอการรักษาก็ยังคงทนทุกข์ทรมาน ส่วนใหญ่เป็นเด็กหรือไม่ก็คนหนุ่มสาว หลายคนไม่มีโอกาสที่จะได้รับการรักษาเลย และคนทั้งหมดที่สูญเสียคนที่ตนเองรักมากที่สุดในชีวิต ลูก พ่อแม่พี่น้อง ภรรยาหรือเพื่อนสนิท ก็ยังคงทนทุกข์ทรมานอยู่

ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และยังคงผลิตและคงไว้ซึ่งอาวุธนิวเคลียร์คือสาเหตุของมหันตภัยนิวเคลียร์ และไม่เพียงแต่อุบัติเหตุจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แต่รวมถึงการประยุกต์ใช้งานที่ผิดพลาดทางการแพทย์หรือการขโมยวัสดุนิวเคลียร์ซึ่งสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของคน ปฏิทินนี้จะเล่าเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับผู้คนที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากการที่คนอื่นๆ คิดว่าพลังงานนิวเคลียร์สามารถควบคุมได้ มีเหตุผลนับพันที่จะคัดค้านพลังงานนิวเคลียร์และเราได้ใส่เหตุผล 365 รายการในจำนวนนับพันลงไปในปฏิทินนี้

ดูภาพถ่ายของ Robert Knoth ซึ่งเล่าเรื่องคนที่ชีวิตของพวกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากพลังงานนิวเคลียร์และตัดสินใจด้วยตัวของคุณเอง