
สวัสดีครับอ่านประวัติพี่นุ๊กแล้วแบบว่า ช่างมีส่วนคล้ายกันในหลายๆเรื่องราวมั๊กมั๊ก เคยเป็นเด็กที่อยากเรียนเมืองนอก เพื่อตามหาอะไรซักอย่าง คิดว่าเมืองไทยเนี่ย มันไม่มีสิ่งที่เราต้องการ แต่ความคิดเหล่านี้มันก็ค่อยๆจางหายไป เกือบปีแล้วมั๊ง
บอส บอสซ่า บอสซึ คือชื่อที่แนะนำตัว แล้วแต่อารมณ์จริงๆ เป็นคนพิจิตรแต่กำเนิด เป็นลูกของพ่อขาว แม่จิ๋ม
มีพี่น้องรวมบอส เป็นสี่คน พี่คนโตเป็นฝาแฝดชื่อ พี่ก๊อฟ(ช) กับพี่เยาว์(ญ) พี่เยาว์อายุ 30 ปี พี่ก๊อฟมีอายุได้แค่ 23 ปี ก่อนจากไปด้วยโรคอ้วน พี่ ของรองชื่อ กิ๊ฟ พี่เยาว์ทำงานอยู่บริษัทโซนี่ที่ปทุมธานี พี่กิ๊พเรียนจบแล้วไปช่วยงานพ่อกับแม่ที่บ้าน ที่บ้านขายส่งอาหารสด(ห้องเย็น) ไก่ สด อาหารทะเล เป็นต้น ชีวิตพ่อแม่ลำบากมาก
หลังจากแต่งงานพ่อแม่ทะเลาะกับตา และพ่อแม่หนีออกจากบ้านพร้อมลูกแฝด ด้วยของเพียง 1 รถสามล้อ มีเงินติดตัว 350 บาท (คล้ายกับเสื่อผืนหมอนใบ) พ่อแบกร่มเช่า แม่ขายปลาสด ชีวิตผ่านมรสุม ทำงานหนักจนฟังแล้วน่าทึ่ง จนสามารถตั้งตัว และเป็นร้านส่งอาหารสดรายใหญ่ในอำเภอได้ในเวลา 10 กว่าปี (เป็นชีวิตพ่อแม่ที่ลูกทุกคนประทับใจมากๆ) ผมเกิดมาตอนปี 2534 ปีที่ชีวิตพ่อแม่กำลังยุ่งมาก พ่อเล่าให้ฟังว่า ตลอดเมลาที่ท้องผมแม่ต้องขายผลไม้ตลอด จนถึงวันคลอด ตอนนั้นชีวิตพ่อกับแม่ตอนนั้นต่างคนต่างทำงานหนักเพื่อสร้างตัว บ้านเช่าผนังสานไม้ไผ่ เป็นที่อยู่ของครอบครัวเราตอนผมเกิด แน่นอนหากผมเกิดมาคงไม่มีใครดูแล ในวันคลอดแม่เล่าให้ฟังว่า ตาหนีไปบวชเพราะไม่ต้องการเลี้ยงผม วันคลอดผมเป็นวันที่แม่ท้อแท้มาก อยู่กับแม่ได้ไม่กี่วัน ปู่ก็มารับไปอยู่กับย่าที่บ้านยางคลี (ห่างจากตัวอำเภอตะพานหินที่แม่อยุ่ไปเกือบ 6 กิโล)
ตอนเด็กๆเลยอยู่กับย่า พ่อแม่ไม่ได้มีเวลาไปหานัก เพราะตอนผมเกิดมาไปถึงปีพ่อกับแม่ก็ออกรถยนมาเพื่อไปรับของที่นครสวรรค์มาขาย ชีวิตพ่อกับแม่ยิ่งยุ่งไปใหญ่ ผมอยู่กับย่าไปบ้านยางคลี ที่ๆผมนึกในตอนนี้ได้ว่ามันเป็นที่ๆทำให้ผมมีความสุขและอบอุ่นมากที่สุด บ้านตรงข้ามวัด มีคลองกั้น เดินจากหลังบ้านไม่ไกลเป็นสวนมะม่วง ผมกับย่าใส่บารตกันทุกเช้า และไปทำบุญทุกวันพระที่มีโอกาส ว่างๆเราก็จะเดินไปสอยม่ะม่วง มะปราง กล้วย ที่สวนของย่า ย่าชอบทำบัวลอยไข่หวาน ข้าวต้มมัด ขนมตาล ผมได้กินและได้ช่วยย่าทำอยู่บ่อยๆ อาหารที่ย่าทำ (ต้มข่าไก่ ต้มมะนาวดอง ของโปรดผม) คืออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้กินจนถึงทุกวันนี้ เสียดายผมไม่มีโอกาสจะได้กินมันอีกแล้ว ย่าเริ่มพูด ขยับตัว ไม่ได้ เมื่อตอนปีที่แล้ว ตอนปีหนึ่งเทอมต้น ช่วงที่ผมห่างจากย่ามากที่สุด(เพราะมันเรียนหนักมากบ้านแทบไม่ได้กลับ) ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือตอนไหน ตอนที่ย่าไม่สบายก่อนที่เส้นเลือดในสมองย่าจะแตก แม่โทรมาบอกผมว่า ให้โทหาย่าหน่อยย่าไม่สบาย ผมอ่านหนังสืออยู่ จนลืมโท อีกวันนึกได้จึงโท แต่ย่าไม่สามรถรับได้เสียแล้ว ย่าอยู่โรงพยาบาลแล้ว และจากนั้นผมก็ไม่สามารถคุยกับย่าได้อีกเลย
คิดถึงย่ามาก.....
ผมอยู่กับย่าจนป.4 แม่บังคับให้มาอยู่กับแม่ที่บ้านที่แม่สร้างใหม่ ผมไม่อยากมาอยู่เลย ผมไม่สนิทกับใครในบ้าน พี่เยาว์ พี่ก๊อฟ พี่กิ๊ฟ เค้าสนิทกันอยู่แล้วแต่ไม่สนิทกับผม ผมจึงเป็นเด็กมีปัญหาเล็กน้อย มาอยู่ได้ไม่นานพี่ฝาแฝดก็ไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมจึงไม่สนิทกับพี่ 2 คน นัก
มันมีโอกาสที่ดีเริ่มขึ้นเมื่อพี่ก๊อฟ(ได้ออกจากมหาวิทยาลัยสงขลาตอนปี 2 มาอยู่บ้านเพราะไม่ชอบในสิ่งที่เรียน) กับน้าฑิต ซึ่งเป็นน้องของแม่ ได้ร่วมกันตั้งวงดนตรีคอมโบเล็กๆ ไปตามงานบวชงานแต่ง ฝึกซ้อมแด๊นเซอร์
บอส บอสซ่า บอสซึ คือชื่อที่แนะนำตัว แล้วแต่อารมณ์จริงๆ เป็นคนพิจิตรแต่กำเนิด เป็นลูกของพ่อขาว แม่จิ๋ม
มีพี่น้องรวมบอส เป็นสี่คน พี่คนโตเป็นฝาแฝดชื่อ พี่ก๊อฟ(ช) กับพี่เยาว์(ญ) พี่เยาว์อายุ 30 ปี พี่ก๊อฟมีอายุได้แค่ 23 ปี ก่อนจากไปด้วยโรคอ้วน พี่ ของรองชื่อ กิ๊ฟ พี่เยาว์ทำงานอยู่บริษัทโซนี่ที่ปทุมธานี พี่กิ๊พเรียนจบแล้วไปช่วยงานพ่อกับแม่ที่บ้าน ที่บ้านขายส่งอาหารสด(ห้องเย็น) ไก่ สด อาหารทะเล เป็นต้น ชีวิตพ่อแม่ลำบากมาก
หลังจากแต่งงานพ่อแม่ทะเลาะกับตา และพ่อแม่หนีออกจากบ้านพร้อมลูกแฝด ด้วยของเพียง 1 รถสามล้อ มีเงินติดตัว 350 บาท (คล้ายกับเสื่อผืนหมอนใบ) พ่อแบกร่มเช่า แม่ขายปลาสด ชีวิตผ่านมรสุม ทำงานหนักจนฟังแล้วน่าทึ่ง จนสามารถตั้งตัว และเป็นร้านส่งอาหารสดรายใหญ่ในอำเภอได้ในเวลา 10 กว่าปี (เป็นชีวิตพ่อแม่ที่ลูกทุกคนประทับใจมากๆ) ผมเกิดมาตอนปี 2534 ปีที่ชีวิตพ่อแม่กำลังยุ่งมาก พ่อเล่าให้ฟังว่า ตลอดเมลาที่ท้องผมแม่ต้องขายผลไม้ตลอด จนถึงวันคลอด ตอนนั้นชีวิตพ่อกับแม่ตอนนั้นต่างคนต่างทำงานหนักเพื่อสร้างตัว บ้านเช่าผนังสานไม้ไผ่ เป็นที่อยู่ของครอบครัวเราตอนผมเกิด แน่นอนหากผมเกิดมาคงไม่มีใครดูแล ในวันคลอดแม่เล่าให้ฟังว่า ตาหนีไปบวชเพราะไม่ต้องการเลี้ยงผม วันคลอดผมเป็นวันที่แม่ท้อแท้มาก อยู่กับแม่ได้ไม่กี่วัน ปู่ก็มารับไปอยู่กับย่าที่บ้านยางคลี (ห่างจากตัวอำเภอตะพานหินที่แม่อยุ่ไปเกือบ 6 กิโล)
ตอนเด็กๆเลยอยู่กับย่า พ่อแม่ไม่ได้มีเวลาไปหานัก เพราะตอนผมเกิดมาไปถึงปีพ่อกับแม่ก็ออกรถยนมาเพื่อไปรับของที่นครสวรรค์มาขาย ชีวิตพ่อกับแม่ยิ่งยุ่งไปใหญ่ ผมอยู่กับย่าไปบ้านยางคลี ที่ๆผมนึกในตอนนี้ได้ว่ามันเป็นที่ๆทำให้ผมมีความสุขและอบอุ่นมากที่สุด บ้านตรงข้ามวัด มีคลองกั้น เดินจากหลังบ้านไม่ไกลเป็นสวนมะม่วง ผมกับย่าใส่บารตกันทุกเช้า และไปทำบุญทุกวันพระที่มีโอกาส ว่างๆเราก็จะเดินไปสอยม่ะม่วง มะปราง กล้วย ที่สวนของย่า ย่าชอบทำบัวลอยไข่หวาน ข้าวต้มมัด ขนมตาล ผมได้กินและได้ช่วยย่าทำอยู่บ่อยๆ อาหารที่ย่าทำ (ต้มข่าไก่ ต้มมะนาวดอง ของโปรดผม) คืออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้กินจนถึงทุกวันนี้ เสียดายผมไม่มีโอกาสจะได้กินมันอีกแล้ว ย่าเริ่มพูด ขยับตัว ไม่ได้ เมื่อตอนปีที่แล้ว ตอนปีหนึ่งเทอมต้น ช่วงที่ผมห่างจากย่ามากที่สุด(เพราะมันเรียนหนักมากบ้านแทบไม่ได้กลับ) ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือตอนไหน ตอนที่ย่าไม่สบายก่อนที่เส้นเลือดในสมองย่าจะแตก แม่โทรมาบอกผมว่า ให้โทหาย่าหน่อยย่าไม่สบาย ผมอ่านหนังสืออยู่ จนลืมโท อีกวันนึกได้จึงโท แต่ย่าไม่สามรถรับได้เสียแล้ว ย่าอยู่โรงพยาบาลแล้ว และจากนั้นผมก็ไม่สามารถคุยกับย่าได้อีกเลย
คิดถึงย่ามาก.....
ผมอยู่กับย่าจนป.4 แม่บังคับให้มาอยู่กับแม่ที่บ้านที่แม่สร้างใหม่ ผมไม่อยากมาอยู่เลย ผมไม่สนิทกับใครในบ้าน พี่เยาว์ พี่ก๊อฟ พี่กิ๊ฟ เค้าสนิทกันอยู่แล้วแต่ไม่สนิทกับผม ผมจึงเป็นเด็กมีปัญหาเล็กน้อย มาอยู่ได้ไม่นานพี่ฝาแฝดก็ไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมจึงไม่สนิทกับพี่ 2 คน นัก
มันมีโอกาสที่ดีเริ่มขึ้นเมื่อพี่ก๊อฟ(ได้ออกจากมหาวิทยาลัยสงขลาตอนปี 2 มาอยู่บ้านเพราะไม่ชอบในสิ่งที่เรียน) กับน้าฑิต ซึ่งเป็นน้องของแม่ ได้ร่วมกันตั้งวงดนตรีคอมโบเล็กๆ ไปตามงานบวชงานแต่ง ฝึกซ้อมแด๊นเซอร์
อะไรทำนองนี้ ทำไห้ผมได้ไปช่วยงานพี่ก๊อฟเล็กๆน้อยๆเวลามีงาน ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น น้าฑิตก็เช่นกัน
ผมก็ได้ซึมซับงานทำวงดนตรีหลายอย่าง พอผมเริ่มสนิทกับพี่ก๊อฟ ย้ายจากนอกห้องแม่มานอนกับพี่ก๊อฟ ผมก็รักพี่ก๊อฟมาก วันหนึ่ีงพี่ก๊อฟซึ่ง น้ำหนักตัว 130 กว่าๆ ก็หลับไปแล้วไม่ยอมตื่นขึ้นมา น้าฑิตซึ่งสนิทกับพี่ก๊อฟมากก็เมาจนเสียสติ ต้องเข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา และหนีหายไป จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครได้เจอน้าฑิตอีกเลย
ผมกับพ่อซึ่งชอบในดนตรีเหมือนกัน ก็เลยได้ทำวงดนตรีแทน ชิวิตการเรียนมัธยมของผมก็เลยสุดเหวี่ยงไปเลย
เสาร์อาทิตย์ซึ่งทำวงดนตรีก็ นั่งหกล้อไปกับคนงานแต่เช้า เพื่อไปตั้งเวทีเครื่องเสียง ตอนเย็นถึงกลางคืนผมก็เป็นคนคุมเครื่องเสียง(ซึ่งได้วิชามาจากน้าฑิต และหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทผสมด้วย) ไปงานที่ไหน บางทีเจอนักดนตรีอายุมาก เค้าก็ดูถูกเอาว่า เด็กขนาดนี้จะรอดรึ๊ รอดบ้างไม่รอดบ้างแหละครับ เด็กขนาดนี้จะไม่รอดซะเป็นส่วนใหญ่ในช่วงแรกๆ บางทีก็ข้าวของพังลำโพงขาดแอมป์ไหม้กันไป แต่พ่อก็วางใจ จนผมก็สามารถคุมจนรอดได้ ไปงานดนตรีนี่ก็ทำทุกอย่างเลยครับ ยกลำโพง ขึ้นนั่งร้าน เคยตกนั่งร้านสามชั้นจบเดินแทบไม่ได้ แต่ก็ยังไม่เข็ดครับ ไฟช็อตนี่เป็นเรื่องปกติเลย เด็กต่อไฟน่ะครับ มันก็ไม่ได้รอบคอบอะไร พออยู่ม.ปลายวิชาก็แก่กล้ามากขึ้น ประกอบกับพ่อก็ลงทุนให้มากขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าได้กำไรนะครับ ชอบล้วนๆนะครับ ก็ได้ไปเที่ยวไปดูศึกษางานคอนเสิร์ตมากขึ้น ผมนี่ก็แทบจะคุมวงเองเลย พ่อก็ไปเฉพาะตอนเย็น ได้ฝึกวิชาการบริหารคน ทำเอาคนงานออกเพราะผมไปหลายราย ฝึกวิชาการอดทนกับความเรื่องมากของผู้จ้าง ความเก๊กของนักดนตรี มากมายครับ ชีวิตโลดโผนมาก ความรับผิดชอบก็สูงมาก คิดว่าเกินเด็กวัยเดียวกันเยอะนะครับ เพราะบางทีได้ไปรับผิดชอบคุมงานพิธีการอย่างวันพ่อ วันปีใหม่ของอำเภอ อะไรอย่างเนี๊ยะน่ะครับ เคยทำงานเสีย(แบบพีธีการเค้าเสียหาย พิธีกรก็ว่าออกไมค์) จนร้องไห้ไม่อยากทำต่อ ทั้งที่งานนี้พ่อเพิ่งลงทุนเพิ่มใหม่ไปหลายหมื่น ทำงานนี้ก็ประสบการณ์หลายอย่างมากแข้มเข็งขึ้นมาก ตากแดดตากฝนทนร้อน กินข้าววัด เวลาไปบ้านนอกนะครับ ไปงานวัดก็ต้องกินข้าววัด ยกตู้ลำโพงก็ไม่ใช่เบาๆ มากมายครับ เพิ่งได้คุยกับพ่อเมื่อไม่นานมานี้พ่อเค้าก็เฉลยว่า ที่ไว้ใจให้ทำ หรือให้คุมคนเดียวทั้งวงเนี่ย ก็เพราะว่าอยากฝึกให้เรามีความรับผิดชอบ ได้บริหาร เพราะพ่อก็ลงทุนเยอะ เราทำเสียก็เยอะ แต่พ่อก็ยังให้เราทำ ก็รู้สึกโชคดีและได้อะไรเยอะมากกับการให้โอกาสของพ่อ นี่ชีวิตด้านการทำงานตอนมัธยม ก็สนุกแล้ว ชีวิตด้านอื่นก็ไม่แพ้กันครับ ทำงานดนตรีก็สนิทกับคนงาน ว่างๆเค้าไปหาปลา ช๊อตปลา ปักเบ็ด หว่านแห แทงกบ วางลอบ เคยมาหมดครับ ในเวลาเดียวกันตอนม.ต้นนี่ก็ติดเกมมาก แร็คนาร๊อค ไปเล่นร้านเกมบางวันกลับบ้านเช้าก็มีครับ ช่วงนั้นโดนแม่ว่าเยอะมาก ทะเลาะกันบ่อยมาก เด็กแว๊นซ์ แต่งรถ มีเรื่องชกต่อย เคยโดนรุมกระทืบ มากมายครับชีวิตช่วงม.ต้นนี่ห่ามมาก การเรียนในห้องก็ไปเรื่อยๆครับเฮฮามันไม่เคยเครียดครับ ชีวิตเปลี่ยนไปตอนม.สามครับ ไปชอบน้องม.สอง ชื่อมิกซ์ น้องเค้าเรียบร้อยมาก เราก็ยอมวางทุกอย่าง ไม่เคยมีเรื่องเลยหลังจากนั้น น้องมิกซ์เค้าสนิทกับเพื่อนห้องผมที่เป็นเด็กเรียน ผมก็เลยต้องไปสนิทกับพวกเด็กเรียนที่เคยไม่ชอบ เราก็ต้องขยันเรียนไปด้วย ประกอบกับไปเจออาจารย์ชีวที่ชอบครับ ชีวิตมันก็เลยเปลี่ยนไปเยอะครับ ไปเรียนพิเศษ เคมี อ.อุ๊ตามเพื่อนตอนจะขึ้นม. 4 ที่พิษณุโลก เพราะไม่อยากอยู่บ้าน อยู่บ้านก็ต้องช่วยงานแม่ ตอนนั้นเบื่อครับ ไปก็เรียนได้มันก็เลยกลายเป้นสนใจเรียนขึ้นมา ม.4 -5 ก็ได้เรียนชีวกับอ.คนเดิม ก็สนุกเลยครับ ม. 5 ติดโอลิมปิค สอวน. เป็นคนเดียวของโรงเรียน ว๊าว นี่ล่ะจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ ติดไปแบบฟลุ๊คๆ ไปก็ตั้งใจแหละครับ เพราะสถานการณ์ในค่ายมันกดดัน ใครเคยเข้าจะรู้ครับ มีแต่คนเก่งๆ รอบแรกรับ 35 คน จาก 4 พันหว่า ตัวสำรอง 3 ผมติดอันดับ 38โชคดีปีนั้นเค้าเรียกตัวสำรองไปครบ รอบต่อไปเค้าจะคัดเหลือ 20 บังเอิญติดที่ 19 อีก มันก็เลยตั้งใจครับ รอบต่อไปเหลือ 6 ผมก็ติดที่ 6 อีก การได้ไปทั้ง 3 ค่ายของสอวน.มันก็ทำให้ผมได้เปิดมุมด้านวิทยาศาสตร์เยอะมาก เห็นโลกมากกว่าตอนที่อยู่โรงเรียนมาก ก็เป็นสาเหตุนี่แหละครับที่ได้มาอยู่วิทยามหิดล ถ้าผมไม่ติดไปหรือติดแค่ค่ายแรก ผมก็คงไม่มาถึงจุดนี้น่ะครับ
ชีวิตผมโชคดีครับ โอกาสของเด็กบ้านนอกน้อยกว่าเด็กเมืองจริงๆครับ ผมได้มาอยู่นี่ถือว่าโชคดีมาก
นั่งเขียนไปก็นึกว่า โหเราได้ผ่านอะไรตอนมัธยมมาเยอะขนาดนี้เลยหรอ หลายๆครั้งที่ผมรู้สึกดีใจ เช่น ได้ทุนศรีตรังทอง แล้วไปคุยกับมิกซ์เนี่ย มิกซ์ยังถามอยุ่บ่อยๆเลย ว่าพี่จำไอ้บอส เxี้ยๆ คนนั้นได้ป่ะ นึกถึงทีไรก็ยิ้มทุกทีครับ (ผมเคยกระชากคอเสื้อและ ชกหน้าอ.พละที่โรงเรียน ด้วยนะครับตอนม.ปลาย) ผมในโรงเรียนเนี่ยก็เลยเป็นเด็กค่อนข้าวเลวในสายตาของอ.ที่โรงเรียน ก็ตอนนั้นมันเลือดร้อนจริงๆ
ชีวิตตอนที่มาอยู่มหิดลนี่ก็เปลี่ยนไปเยอะมาก รู้สึกว่าตั้งใจเรียนแบบไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ก็เหนื่อยแหละครับ
ในช่วงที่กำลังเหนื่อยๆหลังสอบมิดเทอมแรกแหละครับ ถึงได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ไปไอดอลของผมซักที และผมก็ตามไอดอลคนนั้นเรื่อยๆ จนมาอยู่คลาสนี้แหละครับ ^ ^
2 comments:
ได้อ่านถึงตอนที่เล่าถึงพี่กอล์ฟแล้ว...ฉึก ฉึก
บางครั้งบางคราว แว้บแรกที่ตื่นขึ้นมาก็นึกในใจว่า
"ยังไม่ตายรึ"
ฉึก ฉึก
เข้ามาชื่นชมครับ
ประทับใจจริงๆ
Post a Comment