Wednesday, November 10, 2010

จุดจบของเขื่อนเอลวาห์กับขบวนการฟื้นชีวิตให้สายน้ำและพงไพร | โอเพ่นออนไลน์

จุดจบของเขื่อนเอลวาห์กับขบวนการฟื้นชีวิตให้สายน้ำและพงไพร | โอเพ่นออนไลน์

จุดจบของเขื่อนเอลวาห์กับขบวนการฟื้นชีวิตให้สายน้ำและพงไพร

“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วครับที่เราจะได้เห็นเขื่อนเอลวาห์ อีกไม่นานแม่น้ำสายนี้จะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้งในรอบร้อยปี”

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติโอลิมปิกที่ผมมีโอกาสไปคุยด้วยเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมากล่าวอย่างตื่นเต้น

หลังวางแผนและเตรียมการมากว่าสิบปี ภายในฤดูร้อนปีหน้าก็ถึงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะดำเนินการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่สองเขื่อนที่ขวางกั้นแม่น้ำเอลวาห์ออกเพื่อฟื้นฟูประชากรปลาแซลมอนและระบบนิเวศป่าฝนเขตอบอุ่นภายในอุทยานแห่งชาติโอลิมปิก โครงการนี้นับเป็นโครงการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและ นับเป็นโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งเท่าที่เคยมีมา

แม่น้ำเอลวาห์ซึ่งไหลลัดเลาะจากเทือกเขาโอลิกปิกผ่านป่าฝนเขียวขจีและหมู่ไม้ขนาดยักษ์ไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันตกของรัฐวอชิงตันเคยเป็นแหล่งวางไข่ปลาแซลมอนที่สำคัญที่สุดของประเทศนอกเขตอะแลสก้า ทุกปีปลาแซลมอนโคโฮ พิงค์ ชัม ซ็อคอายและชิกนุก นับหมื่นนับแสนตัวจะพากันว่ายทวนน้ำเพื่อขึ้นไปวางไข่ปริมาณมหาศาลบริเวณต้นลำธาร วงจร ชีวิตของปลาแซลมอนเหล่านี้เป็นห่วงโซ่อาหารสำคัญต่อสัตว์ป่ามากมายในระบบนิเวศ และค้ำจุนวิถีชีวิตของชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองเผ่าเอลวาห์คลาลัมที่อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำเอลวาห์มาช้านาน

แต่ราวหน่ึงร้อยปีก่อนฉากชีวิตดังกล่าวก็เปลี่ยนไป เมื่อนักธุรกิจนามโธมัส อัลด์เวลล์ เสนอให้สร้างเข่ือนกั้นแม่น้ำเอลวาห์ในป่าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เขาก่อตั้งบริษัทโอลิมปิกพาวเวอร์ขึ้นด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากนักลงทุนในชิคาโก ในปีค.ศ.1913 เขื่อนเอลวาห์ก็สร้างเสร็จและเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าส่งให้กับโรงงานเยื่อกระดาษในเมืองพอร์ตแองเจลลิสที่อยู่ไม่ไกล เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเวลานั้นทำให้มีการสร้างเขื่อนเหนือต้นน้ำขึ้นไปอีกแห่งหนึ่งในปีค.ศ.1928 แม้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนทั้งสองมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคในเวลานั้นก็จริง แต่ก็ได้ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหลายด้านไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าฝนที่ถูกตัดโค่น ตะกอนปริมาณมหาศาลที่ถูกกักอยู่เหนือเขื่อนจนเกิดปัญหาการกัดเซาะตลิ่ง และที่สำคัญก็คือการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วของเหล่าปลาแซลมอนและปลาชนิดอื่นๆที่ต้องว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่

ในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน รูสเวลส์ พื้นที่ป่าฝนที่ยังอุดมสมบูรณ์แถบเทือกเขาโอลิมปิกก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี1938 และได้มีการขยายเขตครอบคลุมพื้นที่เขื่อนทั้งสองอีกด้วยในเวลาต่อมา สองสามทศวรรษหลังจากนั้นผลพวงจากการพัฒนาที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมเริ่มปรากฎชัดขึ้นทั่วไป ขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งในระดับประเทศและในระดับท้องถิ่นจึงเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มมีการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมที่แท้จริงของเขื่อนเอลวาห์

เมื่อกระแสการอนุรักษ์สุกงอม ช่วงปีค.ศ.1986-88 กลุ่มองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติเช่น กลุ่มเพื่อนอุทยานโอลิมปิก ‘Seattle Audubon Society’ ‘Friend of the Earth’ และ ‘The Sierra Club’ ร่วมกับกลุ่มชนพื้นเมืองได้ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อต้านการยื่นขอต่ออายุการดำเนินกิจการของเขื่อนทั้งสองในเขตอุทยานแห่งชาติ การรณรงค์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะอย่างกว้างขวางจนนำไปสู่การยื่นญัตติต่อรัฐบาลกลางให้มีการฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำเอลวาห์อย่างจริงจังพร้อมกับเสนอให้ทำการรื้อเขื่อนทั้งสองทิ้ง

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อและนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย จนท้ายที่สุดรัฐบาลกลางต้องลงมาไกล่เกลี่ยและเสนอทางออกด้วยการผ่านพระราชบัญญัติฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำเอลวาห์และการประมงในปีค.ศ.1992 พระราชบัญญัติดังกล่าวมอบอำนาจให้กับคณะกรรมการศึกษาสามารถสั่งรื้อเขื่อนได้หากมีความจำเป็น สองปีต่อมารายงานชิ้นสำคัญจากคณะกรรมอิสระที่รู้จักกันว่า Elwah Report ก็สรุปผลชัดเจนว่าการรื้อเขื่อนทิ้งเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำเอลวาห์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะการฟื้นฟูประชากรปลาแซลมอนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิถีชีวิตชาวประมงท้องถิ่น โดยคาดว่าประชากรปลาแซลมอนที่เหลืออยู่เพียง 3,000 ตัวจะสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 300,000 ตัวได้อีกครั้งเมื่อแม่น้ำเอลวาห์ปลอดเขื่อน

นักนิเวศวิทยาเชื่อว่าการกลับคืนมาของปลาแซลมอนเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูความอุดสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้ เพราะจากการศึกษาพบว่าวงจรชีวิตของปลาแซลมอนช่วยค้ำจุนสัตว์ป่าอื่นๆอย่างน้อยถึง137ชนิด ตั้งแต่นกมุดน้ำไปจนถึงนกอินทรีหัวขาวและหมีดำ ยังไม่ต้องพูดถึงแมลงน้ำและปลาน้ำจืดมากมาย รวมทั้งหมู่ไม้สองฟากฝั่งที่พลอยได้อาศัยแร่ธาตุหมุนเวียนจำนวนมหาศาลจากบรรดาปลาท้องโตที่นำติดตัวมาด้วยจากท้องทะเล ไม่เพียงระบบนิเวศเท่านั้นที่จะได้รับการฟื้นฟู หากแต่มรดกทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเผ่าเอลวาห์คลาลัมสองฟากฝั่งแม่น้ำก็จะได้รับการทำนุบำรุงขึ้นอีกครั้ง เช่นการฟื้นฟูป่าศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งที่ปัจจุบันจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำ และการรื้อฟื้นขนบธรรมเนียมที่ผูกพันกับฤดูวางไข่ของปลาแซลมอน

แม้จะมีบทสรุปออกมาอย่างชัดเจนว่าจำเป็นต้องรื้อเขื่อนทิ้ง แต่ขั้นตอนในการรื้อเขื่อนขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมาสำนักอุทยานแห่งชาติทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับชนพื้นเมืองและหน่วยงานชลประทาน เพื่อออกแบบเส้นทางผันน้ำ ก่อสร้างโรงบำบัดน้ำ และสร้างฝายป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวซึ่งหมดงบประมาณไปกว่าห้าพันล้านบาท นอกจากนี้งบประมาณไปอีกไม่น้อยก็ถูกใช้ไปในการศึกษาและวางแผนการฟื้นฟูระบบนิเวศระยะยาว

เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขื่อนถูกรื้อออกไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การเกิดใหม่ของแม่น้ำเอลวาห์จะช่วยให้ตะกอนจากยอดเขาสามารถไหลเคลื่อนไปเติมความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำเบื้องล่างรวมทั้งที่ลุ่มปากแม่น้ำอย่างที่คาดไว้หรือไม่ ประชากรปลาแซลมอนนับหมื่นนับแสนจะหวนคืนกลับไปวางไข่ในสายน้ำเอลวาห์ที่ถูกตัดขาดไปร่วมร้อยปีได้หรือเปล่า

เหล่านี้เป็นคำถามที่ทุกคนเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ แต่ที่แน่ๆ จุดจบของเขื่อนเอลวาห์นับเป็นประวัติศาสตร์สำคัญหน้าหนึ่งของขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นชัยชนะของกลุ่มนักอนุรักษ์ที่สู้ไม่ถอยและสามารถผลักดันจนกระทั่งแนวคิดเรื่องการฟื้นฟูระบบนิเวศกลายเป็นวาระแห่งชาติ นอกจากนี้ก็ยังเป็นบทเรียนสำคัญให้แก่พื้นที่อื่นๆด้วยว่า แม้การอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงความสมบูรณ์ไว้นั้นจะเป็นเรื่องยาก แต่การฟ้ืนฟูธรรมชาติที่เสียสมดุลไปแล้วนั้นยิ่งเป็นเรื่องยากกว่า ทั้งยังต้องใช้งบประมาณและเวลามากกว่ามาก

เจ้าหน้าที่อุทยานสูงอายุท่านหนึ่งบอกกับผมก่อนกลับว่าการรื้อเขื่อนเอลวาห์ถือเป็นของขวัญที่คนรุ่นเขามอบให้กับคนรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ถึงวันที่แม่น้ำเอลวาห์และพงไพรแถบนี้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์มาได้ดังเดิม แต่เขาเชื่ออยู่อย่างว่า ในเรื่องของการอนุรักษ์นั้นไม่มีคำว่าสายเกินไป…หากเราเริ่มลงมือทำ

“The best time to plant a tree was 20 years ago, the second best time is now” - Old Chinese proverb

“เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือเมื่อ20ปีที่แล้ว เวลาที่ดีที่สุดรองลงมาก็คือตอนนี้” - สุภาษิตจีนโบราณ

1 comment:

Yin said...

อ่านจบแล้วก็คิดถึงว่า แล้วเขื่อนที่บ้านเราล่ะ(ปท.ไทย) มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศเกิดขึ้นแน่นอน ที่รู้ว่ามีก็ตามความรู้ที่เรียนมา แต่ข้อมูลจากการศึกษาจริง อันนี้ก็ไม่เคยรู้ แล้วเราจัดการอย่างไร และเกิดความสงสัยถึงข้อดีกับข้อเสียของเขื่อน ตอนสร้างนี่ได้มีการชั่งน้ำหนักตรงนี้อย่างดีแล้วหรือยัง