Friday, April 8, 2011

อิงแลนด์แดนผู้ดี?


เตรียมตัว: หลายๆคนบอกว่าอิจฉาที่ฉันได้มาเยือนถิ่นผู้ดีประเทศอังกฤษ ฉันเองยังอิจฉาตัวเองเลย อดตื่นเต้นไม่ได้เลยเตรียมตัวเป็นการใหญ่ตั้งแต่ก่อนมาก็หาโน้นนี่มาอ่าน เปิดรูปดู เพื่อให้พร้อมกับการเดินทาง สิ่งก่อสร้างอันวิจิตรตระการตา หอนาฬิกาที่รู้จักกันทั่วโลก ชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ยักษ์ที่แม้จะมีที่อื่นลอกเลียนแบบก็ยังลบภาพของลอนดอนอาย (London eye) ไม่ได้ ระบบขนส่งที่สะดวกสบายไปทุกที่ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งชื่นชมเข้าไปใหญ่เมื่ออ่านพบว่าคนอังกฤษดำเนินชีวิตเรียบง่าย ไม่ว่าจะใส่สูทผูกไทด์ก็ยังนั่งเล่นในสวนสาธารณะ หนังสือพิมพ์แจกฟรีมีทั่วเมืองแม้จะทิ้งลงถังขยะแล้วเขาก็เก็บมาอ่านกัน เพราะว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

มุ่งหน้าสู่อังกฤษ: พอเหยียบลงมาจากเครื่องบินก็ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินหรือที่เรียกกันว่า Tube ต่อไปยังที่หมายปลายทาง รถไฟฟ้าที่มีสถานีมากมายแต่ก็ปิดซ่อมบ่อยครั้งให้ต้องนั่งอ้อม สภาพรถไฟฟ้าก็ดูเก่ามาก หนังสือพิมพ์ที่มีแจกฟรีและใครจะหยิบมาอ่านต่อจากใครก็ได้ กระจุกกระจายอยู่ทุกหลืบบนรถ คนขึ้นกันแน่นขนัด บางคนฟังเพลงเสียงดัง บางคนวางของบนเก้าอี้โดยไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมีที่นั่งไหม

ถึงที่หมาย: ฉันอาศัยอยู่ในบ้านพักสองชั้น บ้านเรือนที่นี่จะเป็นแบบเดียวกันหมดซึ่งมองดูสวยงามแต่ก็ถูกจำกัดอิสระอยู่มากมาย บ้านห้ามทาสี อะไรผุพังก็ต้องใช้วัสดุซ่อมแซมให้เหมือนเดิม ขอบหน้าต่างต้องเป็นแบบเดียวกัน สีต้องเหมือนบ้านอื่นๆ ยิ่งใครหวังจะสร้างบ้านใหม่คงลืมไปได้เลย บ้านในเมืองอังกฤษส่วนใหญ่สร้างด้วยหิน ซึ่งมาจนถึงวันนี้หินในประเทศอังกฤษก็คงเหลือน้อยเต็มทีจึงต้องนำเข้ามาจากฝรั่งเศสทำให้ค่าใช้จ่ายสูงมาก บ้านนี้เป็นบ้านเช่ารวมอยู่ด้วยกันสามคน สิ่งที่เจอคือสังคมแบบตัวใครตัวมัน เจอหน้ากันก็คุยกันพอเป็นพิธีต่างคนต่างออกไปเรียนหรือทำงาน กลับมาก็อยู่ในห้องหรือดูทีวี อาหารการกินก็ส่วนของใครของมันดูแลและจัดการตัวเอง ทำให้ในบ้านมีขนมปังสามแถว มายองเนสสามขวด ดีที่ไม่ต้องแยกเครื่องซักผ้าหรือตู้เย็นด้วย

สังคมภายนอกนั้นฉันเองก็ไม่อาจจะสรุปรวมได้เพราะมีคนมากหน้าหลายตา หลายเชื้อชาติมารวมกันอยู่ที่ประเทศแห่งนี้ แต่ที่ประหลาดใจคือเด็กที่สามารถพบเห็นได้ทุกที ซึ่งเดิมทีคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการควบคุมประชากรกันมากกว่านี้ วันนี้เจอภาพน่ารักเด็กน้อยวัยประมาณ 5-6 ขวบกำลังช่วยแม่เข็นรถเข็นน้องที่ยังแบเบาะอยู่ ในขณะที่แม่อุ้มน้องอีกคนวัย 3-4 ขวบ เป็นภาพที่น่ารักและน่าตกใจในเวลาเดียวกันว่าทำไมเด็กถึงเยอะอย่างนี้และอนาคตเกาะเล็กๆแห่งนี้จะสามารถรองรับประชากรมากมายเหล่านี้ได้อย่างไร

จะไม่ให้ประชากรล้นทะลักได้อย่างไรเมื่อเจอเด็กวัยประมาณ 13-15 ปียืนกอดกันบนรถไฟฟ้า โตกว่านั้นน้อยก็จูบกัน เพื่อนร่วมบ้านซึ่งอายุไม่น่าจะเลย 24 ปีกำลังตั้งท้อง คนแต่งงานก่อนยังไม่จบปริญญาตรี อากาศหนาวมากแต่ก็ใส่กระโปรงกันแค่คืบ ผับบาร์มีอยู่ทุกหนทุกแห่งแม้กระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดามาก และฉันมีโอกาสได้เล่าให้เพื่อนหลายคนฟังก็มีคนบอกว่าวัฒนธรรมต่างกัน อย่าเอามาตราฐานของวัฒนธรรมเราไปชี้วัดคนอื่น จึงอยากถามกลับไปเหลือเกินว่าเราเธอเอามาตราฐานอะไรมาชี้วัดว่าเขาเป็นผู้ดี การแต่งตัว? การศึกษา? รายได้?

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราไปอยู่ที่ใด เราก็มักจะเห็นข้อเสียของที่นั้นๆ แต่ละที่ก็ย่อมมีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป สุดท้ายคนอังกฤษก็เป็นคนอย่างเราๆนี่เอง

อิงแลนด์ (ใครว่า) แดนผู้ดี

*อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เขียนจากความคิดเห็นส่วนบุคคลและสิ่งที่เจอมา หลายคนก็อาจจะเจออะไรต่างกันหรือมองกันต่างออกไป


Thursday, January 27, 2011

ไทย2ญวน60

เมื่อเช้าเห็นพาดหัวข่าวนสพ. ว่า"ไทย2ญวน60 สถิติการอ่านหนังสือ"
ก็รู้สึกเออ อ่านน้อยนะคนไทย แต่ก่อนที่จะเห็นข้อความนี้ได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่งมานิดนึง เกี่ยวกับการอ่านหนังสือ จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ อ่านไม่หมดด้วย แต่โดยที่หนังสือพูดคือประมาณว่า
การที่เราจะอ่านหนังสือเล่มใดนั้น ควรจะถามตนเองว่าอ่านเพื่ออะไร ต้องการอะไรจากการอ่านครั้งนี้
การที่เราอ่านหนังสือที่เค้าแนะนำกันหรือว่าอ่านหนังสือที่ควรอ่านโดยที่คิดว่าอ่านเพราะเค้าว่าเป็นหนังสือที่ดีน่าอ่าน แต่ตนเองไม่ได้อยากอ่านนั้นแม้อ่านจนจบเล่มแล้ว เราก็จะไม่ได้อ่านอยู่นอกจากคำว่า เราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วนะ
หนังสือนั้นสามารถอ่านได้ทุกที่ทุกเวลาที่เราอยากอ่าน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดสถานการณ์ใดก็ตาม การที่บ้างคนชอบอ้างปัจจัยต่างๆที่ทำให้อ่านไม่ได้นั้น น่าจะเป็นความเห็นแก่ตัวของผู้อ่านเองมากกว่า

จากการที่ได้อ่านหนังสือเก่าๆ เล่มนี้ ทำให้มุมมองต่อข้อความข้างบนเปลี่ยนไป ถ้าเมื่อก่อนผมคงจะคิดว่าคนไทยเนี่ย ขี้เกียจนะ โดนต่างชาติเค้าแซงไปอีกแล้ว แต่มีความคิดอีกแบบที่โผล่ขึ้นมาคือว่า คนไทยนั้นยังไม่สามารถหาหนังสือของตนเองที่จะอ่านได้หรือเปล่าหรือว่า ปริมาณหนังสือที่อ่านเนี่ยไม่ได้บอกถึงความฉลาดหรือบางสิ่งบางอย่างที่เพิ มพูนจากการอ่านหนังสือก็ได้

ปล. อยากให้ผู้ร่วมเดินทางในบล็อกได้แสดงความคิดเห็นกันด้วยนะครับ

Thursday, January 13, 2011

เหตุเกิด ณ พื้นที่เสี่ยง... ที่ขอบแห่งพรมแดนความรู้


มีบทเรียนมาแบ่งปันพวกเรา เป็นบทเรียนที่มีความหมายกับนักเดินทางรุ่นพี่ๆ น้องๆ ที่เคยผ่านคลาส... "แบบพวกเรา" มา ช่วยสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับชีวิตและโลก และเป็นหนึ่งในเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจให้พี่และเพื่อนหลายคนได้ก้าวออกไปทำอะไรที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะทำได้ (หรือแม้กระทั่ง...ได้ทำ) โดยที่ไม่รู้สึกว่าจะต้องทำอย่างกล้ำกลืนฝืนทนนะ

คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับพวกเราที่ได้มีประสบการณ์ทำ individual project (ไม่ว่าจะอยู่ใน status ไหนก็ตาม) ในวิชานี้ และเกี่ยวกับ Solo Time (ที่บางคนเขียนเป็น Zolo Time) ที่เราได้ไปลองกันมาด้วย และอาจเชื่อมโยงไปถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตเราเองก็ได้ ยังไงก็...เป็นกำลังใจให้เด้อ! :-)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 


โดย สรยุทธ รัตนพจนารถ
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา
ContemplativeEducation@yahoo.com
โพสต์ทูเดย์ คอลัมน์ที่พรมแดนแห่งความรู้ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๙
-------------------------------------------------------

ในสถานการณ์หนึ่ง แต่ละคนจะเรียนรู้ได้เร็วช้าต่างกัน ทว่าหากสถานการณ์เก่าภาวะเดิมนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะใหม่ อาจกลายเป็นว่าคนที่เคยเรียนรู้ได้ช้ากลับสามารถเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี สาเหตุเพราะว่าเราแต่ละคนนั้นมีศักยภาพ มีความสามารถและรูปแบบในการเรียนรู้ได้แตกต่างกันในภาวะที่ต่างกันออกไป

การเรียนการสอนในห้องเรียนโดยปกติทั่วไป เรามักจะจัดแบบเหมาโหล เปรียบเทียบกับการตัดเย็บเสื้อผ้าก็คือ ตัดเสื้อขนาดเดียวแต่ให้ใช้สำหรับทุกคน หรือที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นแบบที่ตัดคุ้กกี้ (Cookie cutter) เพราะมีพื้นฐานแนวคิดความเชื่อว่าผู้เรียนแต่ละคน (อันเปรียบเสมือนคุ้กกี้แต่ละชิ้นที่ผลิตออกมาจากที่ตัดอันเดียวกัน) เหมือนกันหมดทุกประการไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความสามารถ หรือความสนใจ

แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อย่าว่าแต่สำหรับห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งหรือนักเรียนกลุ่มหนึ่งเลย ลำพังเพียงเราแต่ละคนก็ยังมีความพร้อมไม่เหมือนกันในการเรียนเรื่องเดียวกันในเวลาต่างกัน

การเรียนการสอนในปัจจุบันโดยมากนั้นเป็นกระบวนการที่มีรูปแบบเดียว จึงต้องพยายามสร้าง “บทเรียน” อันมีลักษณะกลางๆ เหมือนกับสอนตรงค่าเฉลี่ย ให้ผู้เรียนส่วนใหญ่หรือผู้เรียนทั้งหมดในห้องเรียนพอจะรับได้ พอจะเข้าใจได้ บทเรียนหรือความรู้นั้นจึงต้องเป็นเรื่องราวเป็นชุดประสบการณ์ที่แบนๆ เรียบๆ ไม่ค่อยมีหลายมิติเท่าไหร่นัก ว่าด้วยเนื้อหาใจความสำคัญหลัก ทำให้รูปแบบของกระบวนการเรียนที่ปรากฏคือ มีผู้สอนยืนบรรยายเนื้อหาความรู้หน้าชั้น และผู้เรียนก็ได้รับประสบการณ์คล้ายๆ กัน คือนั่งตาปรือ ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

สถาบันการศึกษาทั่วไปมักเป็นการนำเสนอบทเรียนที่มีลักษณะกลางๆ เป็นเนื้อหาความรู้ว่าด้วยเทคนิควิชาอันเป็นเรื่องนอกตัวผู้เรียน แต่ละวันถูกนำเสนอโดยไม่สนใจว่าผู้เรียนอยู่ในภาวะเช่นไร จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ผู้เรียนไม่รู้สึกว่าความรู้ที่ได้มีความสัมพันธ์และสำคัญกับตัวเองแต่อย่างไร

แต่นั่นคือปัจจุบันที่กำลังจะเป็นอดีต

ทิศทางและความก้าวหน้าในเรื่องการเรียนรู้ของโลกยุคปัจจุบันมุ่งไปสู่การพัฒนาสมดุลของการเรียนรู้ภายนอกตัวกับในตัว กล่าวคือ หลอมรวมความรู้นอกกายนอกตัวเข้ากับการเรื่องรู้กายรู้ใจตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่ได้ชื่อว่าจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) โดยให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับภาวะและพื้นที่ของแต่ละคน
หนึ่งในความเชื่อพื้นฐานของการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาคือ คนเราแต่ละคนมีการเรียนรู้ต่างกันในภาวะที่ต่างกัน และภาวะที่ต่างกันนี้ก็เป็นความต่างจากมุมมองของความคุ้นเคยหรือความปลอดภัยของแต่ละบุคคลด้วย ภาวะดังว่านี้อาจแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ พื้นที่สบาย (comfort zone) เป็นภาวะที่เรารู้สึกคุ้นเคย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายและปลอดภัย (“พื้นที่การเรียนรู้” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่พื้นที่ทางกายภาพแต่อย่างเดียว อาจเป็นรูปแบบหรือลักษณะของกิจกรรมหรืออื่นๆ) ระดับต่อมาคือ พื้นที่เสี่ยง (risk zone) เป็นภาวะที่เรารู้สึกระแวดระวัง รู้สึกถึงความสุ่มเสี่ยง ไม่มีความคุ้นเคย แต่ยังถือว่าพอรับได้ และระดับสุดท้ายคือ พื้นที่อันตราย (danger zone) เป็นภาวะที่เรารู้สึกไม่มีความปลอดภัย

ในพื้นที่สบายนั้น ย่อมแน่นอนว่ามนุษย์เราสามารถเรียนรู้บางอย่างได้ดี แต่ก็มักจะเป็นความรู้คนละชุดกันกับความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่อันตราย การมีสติอยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือในพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคงนี้เองจะทำให้เรามีโอกาสการเรียนรู้มาก โดยเฉพาะการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเรา หรือความเป็นตัวเราเอง

ฉะนั้น สำหรับการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาแล้ว สิ่งที่เป็นไปได้ไม่ยากนัก คือการจัดสภาพแวดล้อมหรือบทเรียนที่แม้จะเป็นรูปแบบเดียว แต่มีหลายมิติ สภาพการณ์ดังว่าจึงเป็นภาวะที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน และภาวะที่ต่างกันทำให้มีความหมายต่อผู้เรียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยต่างคนก็สามารถออกแบบหรือจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้กับตนเองได้อีกด้วย

ตัวอย่างเช่น การฝึกอบรมของ Earth Expeditions ซึ่งมหาวิทยาลัยไมอามี่ ที่สหรัฐอเมริกา ได้ส่งครูชาวอเมริกันสิบกว่าคนมาเรียนรู้เรื่องพุทธศาสนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และทางผู้จัดในไทย (ได้แก่ สถาบันขวัญเมือง มูลนิธิโลกสีเขียว และมหาวิทยาลัยมหิดล) ได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ทางจิตตปัญญา (Contemplative Learning) เพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน

กล่าวคือ ในกระบวนการทั้งหมดเราได้สนับสนุนเชื้อเชิญให้ผู้เรียนได้มีสติอยู่กับตัวเอง อยู่กับใจ อยู่กับความรู้สึกของตนเอง จากนั้นก็เชิญชวนให้แต่ละคนก้าวออกมาจากพื้นที่ที่คุ้นเคยเดิม ตามที่ตนเองได้มีโอกาสเลือกเอง ไม่ควบคุมบังคับ

หนึ่งในกิจกรรมเหล่านั้นคือการให้โอกาสแต่ละคนได้อยู่คนเดียวในป่าธรรมชาติที่ดอยเชียงดาว กิจกรรมนี้ได้เกิดผลต่อผู้เรียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนรู้สึกเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ เรียกว่าอยู่กลางพื้นที่ปลอดภัยหรืออยู่ในภาวะสบายเลย ในขณะที่อีกหลายคนกลับรู้สึกว่าตนเองออกไปอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงหรือภาวะเสี่ยงเต็มๆ เกือบจะพลัดเข้าไปสู่ภาวะอันตรายเสียด้วยซ้ำ แต่ละคนได้เลือกว่าออกไปไกลหรือนานเท่าใดจึงจะเป็นการออกจากภาวะหรือพื้นที่สบาย ไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยไม่ใช่พื้นที่อันตราย (จนเกินไป)

ยิ่งกิจกรรมนี้ผนวกด้วยการเชิญชวนให้ไม่เอาอะไรไปทำในป่า เช่น ไม่เอาหนังสือไปอ่าน หรือไม่เอาบันทึกไปจด หรือไม่เอาอาหารไปกิน ... การอยู่ว่างๆโดยไม่ทำอะไรนี่ก็เช่นกัน เป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปากสำหรับบางคน แต่ถึงขนาดเข็นครกขึ้นภูเขาสำหรับคนอื่นๆ

สิ่งที่พบหลังจากแต่ละคนกลับออกมา หลายคนสะท้อนความเห็นออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่ากิจกรรมง่ายๆ เท่านี้จะทำให้เขาได้ค้นพบตัวเอง รู้จิตรู้ใจตัวเอง และเห็นศักยภาพของตนเองมากขึ้น

การเรียนรู้เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเทคนิควิธีการเรียนรู้ที่จะนำพามาบอกเล่าในพื้นที่คอลัมน์นี้ (ที่จะพบกันทุกวันอาทิตย์) ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแวดวงของการเรียนรู้ทั้งไทยและเทศ เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่อยู่ที่พรมแดนความรู้ในเรื่องของการเรียนรู้ อาจเป็นเทคนิควิธีแบบใหม่และอาจเป็นการให้ความหมายใหม่กับเทคนิควิธีการเรียนการสอนแบบเดิม เพื่อขยายมุมมองของเราทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น

Sunday, January 2, 2011

Quest Item & Evaluation



เดินทางในคลาสด้วยกันมาเกินครึ่งทางแล้ว
มองเห็นตนเองและเพื่อนๆ ยังไง
คิดว่าเราแต่ละคนได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง

ทำ Quest Item กับประเมินแล้ว
มีความคิดเห็นหรือรู้สึกอะไร
มาแบ่งปันกันในนี้ได้ค่ะ


:-)

ประชาชน ปฏิรูป ประเทศไทย



จากเอกสาร "ประชาชน ปฏิรูป ประเทศไทย"
อ่านแล้วมีความเห็นยังไงบ้าง
มาคุยกันในนี้ได้ค่ะ :-)

ถ้ายังไม่ได้ดาวน์โหลดมา
ก็นี่เลย
ประชาชน ปฎิรูป ประเทศไทย

ลงหนังสือพิมพ์มติชนด้วย


ให้พวกเราอ่าน
ก่อนมาคลาสวันที่ ๑๑ มกรา ๕๔ นะคะ

:-)

Our Daily Bread


เรื่องนี้เป็น optional นะ
แต่มีคำแนะนำว่าถ้าจะดูทั้งสองเรื่อง
ให้ดูเรื่องนี้ก่อน Food, Inc. ค่ะ

ดูแล้วเป็นยังไง
คิดเห็น/มีประเด็น/เมนท์อะไร
มาแบ่งปันกันในนี้ได้เลย :-)


Food, Inc.



ได้ดูแล้วยัง :-)

เป็นยังไงบ้าง
มีอะไรอยากเมนท์/เปิดประเด็นไหม
มาชวนพวกเราคุยกัน...

:-)